วันเสาร์ที่ 30 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

Chapter 1 :30ราตรี

[Fic EXO] Shine [Kaido,Chanbaek, Hunhan]
By winata
Chapter  1 :30ราตรี


             ทหารหมู่หนึ่ง ราว ๆ เกือบสามสิบนายค้อมกายถวายความเคารพพร้อมเพรียงเมื่อผู้นายเหนือหัวทรงม้ากลับมายังค่ายพักแรมในแนวป่าทึบใกล้เทือกเขาสูงแนวชายแดนระหว่างพูยอและมาฮัน

             ทหารนายหนึ่งมารับโฮฮงสีนิลไปดูแลให้หญ้าให้น้ำพร้อมน้ำอ้อยอย่างให้ให้สมกับที่เป็นอาชาทรงขององค์ราชัน

             “ชานยอล”

             รับทรงเรียกนายทหารคู่พระทัยให้ตามเข้าไปในกระโจมที่ประทับส่วนพระองค์  ก่อนจะเอ่ยสนทนา

             “เจ้าต้องทายไม่ถูกเป็นแน่  ว่านี้เราพบผู้ใด”

             “ราชันแห่งพูยอ?” เสียงทูลนอบน้อม

             “เหอะ อาจารย์เฒ่าเรานะรึ  จะมีแรงขี่ม้าออกมานอกเมืองกัน” รับสั่งทรงเยาะถึงความชราของผู้ที่เคยเป็นพระอาจารย์ให้ตนเมื่อครั้งยังทรงพระเยาว์

             “แล้วงั้นพระองค์ทรงพบเจอผู้ใดเล่า  หากมิทรงบอก  กระหม่อมก็มิอาจจะเดาได้นอกจากชาวบ้านตาดำ ๆ ของพูยอกระมัง” ชานยอลอดจะเย้าเสียมิได้

             “ก็แค่เด็ก  ที่ดูยังไม่สิ้นนมเสียคนหนึ่ง”

             “เด็ก?” อดจะเงยหน้าขึ้นมององค์ราชันที่ประทับนั่งอยู่แท่นทรงงานสนามด้วยความสงสัย  ว่าเหตุใด “เด็ก” คนนี้ถึงใดมีความสำคัญจนต้องเอ่ยถึง

             “ใช่นะสิชานยอล  เจ้าเด็กอวดดีจะตายแล้วยังไม่รู้ตัวเสียอีก  ช่างกล้ามาดูแคลนซึ่งเกียรติยศและชื่อเสียงของเรา”

             “สามหาวยิ่งนัก  มันคือผู้ใด  กระหม่อมจักไปตัดลิ้นมาถวาย”

             “ฮาๆ” ทรงสรวลอย่างพอพระทัย

             “กระหม่อมอยากรู้นัก  หากเด็กนั่นทราบว่าแท้ที่จริงแล้วพระองค์คือผู้ใด  คร้านจะเข่าอ่อนเสียไม่ว่า” ชานยอลกล่าวหนักแน่นด้วยความมั่นใจในพระบารมีขององค์ราชันจงอิน

             “ไม่แน่หรอกชานยอล เจ้านั้นมันตัวเล็กพริกขี้หนู ท่าทางจะฤทธิ์ไม่เบาทีเดียว  เราว่าเรามองคนไม่ผิด”

             ชานยอลนิ่งฟังรับสั่ง  น้อยครั้ง...ที่องค์ราชันจะเอ่ยชมใคร

             “แต่ยังไงเสียคงมิอาจเทียบกับพญาราชสีห์ได้หรอกพระองค์”

             “ชานยอล  เจ้าจงอย่าได้ประมาท  แม้พิษจะเล็กน้อยถึงเพียงไหนก็สามารถทำให้คนเราตายได้ง่าย ๆ เพราะฉะนั้นจงได้อย่าประมาทไป”

             ร่างสูงโบกมือไปมาแบบไม่ใส่ใจ  แม้กระแสน้ำเสียงจะราบเรียบแต่นัยน์ตาคมกับวาววับราวกับเจอของเล่นถูกใจ

             “แค่เล่าให้ฟังเท่านั้น  ไม่ต้องถึงมือเจ้าหรอกชานยอลหากเราจะเอาจริง   แล้ววันนี้น้องเล็กส่งสาสน์มาถึงเราหรือไม่” เอ่ยเปลี่ยนเรื่อง

             “ยังไม่มีสาสน์จากพระอนุชามาเลยกระหม่อม” ก้มหน้าลงมองปลายเท้าเมื่อนึกถึงใครบางคนที่ทำหน้าที่รักษาราชการดูแลทงเยอยู่

             “แบคฮยอนนี่ชักเอาใหญ่เสียจริง   นี่เราให้คอยรายงานทุกวันนะ  ไปเลยชานยอลจงส่งสาสน์ไปถามความคืบหน้าทางโน้นโดยเร็ว” เอ่ยบอกพร้อมกวักมือไล่

             “พระอนุชาอาจกำลังทรงงานหนักจนมิอาจว่างจะส่งสาสน์ถึง” รีบแก้ต่างให้ทันที  จนองค์ราชันจงอินอดจะลอบขำนายทหารคู่ใจเสียไม่ได้กับความในใจที่เดียวนี้เริ่มเก็บงำไม่มิด

             “หวังว่าจะทำงานจริง ๆ นะ ไม่ใช่แอบหนีไปเที่ยวนอกวังเหมือนเคย ๆ แถมเจ้ายังมาอยู่นี่กับเราคงไม่มีใครคอยไปตามหาให้กลับวัง”     ชานยอลได้แต่ฟังพระสุรเสียงที่แสนแจ่มใสที่เอ่ยถึงพระอนุชาอย่างเงียบ

             “เจ้าไปจัดการส่งสาสน์ให้เรียบร้อย  จากนั้นอีกหนึ่งชั่วยามเรียกประชุมให้เราที  ตอนนี้เราขอพักผ่อนสักนิด” 

             รอจนชานยอลออกจากกระโจมไปแล้วพระหัตถ์แกร่ง  ถึงได้เปิดกระบอกสีดำที่มีเครื่องหมายตราสัญลักษณ์ขององค์ราชันแห่งพูยอสลักไว้ที่บรรจุสาสน์สีขาวพร้อมรอยหมึกที่แสนคุ้นเคยอ่านใคร่ครวญอีกครั้ง  จากนั้นก็เก็บไว้เช่นเดิม

             นัยน์ตาคมรี่ลงอย่างใช้ความคิด  หากพระอาจารย์มิได้อับจนหนทางเสียแล้วจริง ๆ คงไม่ทางจะส่งสาสน์เช่นนี้มาถึงตัวพระองค์ภายเมื่อห้าราตรีที่แล้ว




          จงยกทัพของทงเย  มาตีพูยอภายใน 30 ทิวาราตรี



             ถ้อยคำในสาสน์นั้นหากมิได้มีตราราชลัญจกรแห่งองค์ราชันของพูยอที่ประทับลงมา  จงอินอาจคิดเพียงใครบ้างคนที่เจตนาเพียงล้อเล่นและก่อความวุ่นวายใจให้รำคาญ  แต่หลังจากตัดสินใจเดินทางมาสอดส่องและสืบข่าวอย่างรวดเร็วสิบราตรี  ตอนนี้ไม่แปลกใจเลยว่าองค์ยุนโฮและองค์แจจุงจึงดำริเช่นนี้ 


             “ฝ่าบาท ท่านลู่หาน  ท่านอู๋อี้ฟานและท่านอี้ชิง มาพร้อมกันแล้วกระหม่อม” เสียงชานยอลที่ดังอยู่หน้ากระโจมเรียกสติกลับมาสู่องค์จงอิน

             “เข้ามาได้” หลังจากเอ่ยอนุญาตชายหนุ่มทั้งสี่ก็เดินเข้ามายังในกระโจมที่พักพร้อมแล้วที่จะหารือและแลกเปลี่ยนข่าวสาสน์ที่ไปสืบมา


+++++++++++++++++



             “ว้าย...หม่อมฉันนึกอยู่แล้วเชียว  ว่าทูลกระหม่อมต้องปลอมตัวออกไปนอกวัง” คุณข้าหลวงประจำพระองค์เอ่ยพร้อมส่งสายตาค้อนให้

             “...” ไร้สุรเสียงใด ๆ ตอบกลับจากองค์ชายรัชทายาทลำที่สองแห่งพูยอที่บัดนี้ใบหน้าเนียนผ่องใสกว่าบุรุษวัยเดียวกันซีดเซียวยิ่งทำให้ยอนฮวาตกอกใจ


            
          แล้วเจ้าจะเสียใจเมื่อถึงวันนั้น



             น้ำเสียงเข้มบ่งบอกความคุกคามมุ่งร้ายมันยังติดอยู่พระกรรณไม่เสื่อมคลาย  มันทำให้องค์ชายน้อยตระหนกตกพระทัยยิ่ง  แม้นจะกลับมายังตำหนักที่ประทับส่วนพระองค์ก็ยังเงียบงันและครุ่นคิด

             พลางคิดหากมีโอกาสเจอครั้งหน้าบุรุษที่แสนโอหังจะต้องโดนตนสั่งสอนให้จงได้ว่าอย่าริมาอวดอ้างความเก่งกล้าขององค์ราชันอื่นบนแผ่นดินของพูยอ

             “เรามิได้เป็นไรหรอกพี่หญิงยอนฮวา  เราแค่เหนื่อยวันนี้เราแค่พาจางโฮไปเที่ยวเล่นเสียไกลกว่าปกติ” บอกพร้อมทรงแย้มพระสรวลประจบ

             “เอาอีกแล้วนะเพคะ  ทรงชอบแอบออกไปพระองค์อยู่เรื่อยเชียว  หากมีองค์รักษ์ติดตามไปด้วยหม่อมฉันจะมิว่ากระไรเลย  นี่หากเกิดอะไรขึ้นจะทำอย่างไร” บ่นอุบอิบเบา ๆ

             “โธ่..พี่หญิง  เราแต่งกายเช่นนี้ยังต้องห่วงอะไรฮึ” เอ่ยถามพร้อมกับกอดแนบกายคุณข้าหลวงประจำตัว  ที่เป็นทั้งเพื่อนและพี่สาวที่เติบโตมาพร้อม ๆ กัน

             “คร้านต่อปากต่อกับด้วยแล้วนะเพคะ  รีบสรงและทรงรีบเปลี่ยนฉลองพระองค์เถอะเพคะ  อย่างไรเสียชุดชาวนาสามัญเช่นนี้ก็ขว้างหูขว้างตาหม่อมฉัน”

             “ไว้ค่อยอาบทีหลังไม่ได้เหรอ  ตอนนี้เราง่วงจังเลย” ถ้อยรับสั่งออดอ้อน พร้อมขยับเนตรปริบ ๆ

             “ไม่ได้เพคะ ทรงออกไปเที่ยวเล่นคลุกฝุ่นจนมอมแมมเช่นนี้แล้วยังจะไม่ทรงสรงน้ำอีก  หม่อมฉันรับไม่ได้  เดี๋ยวถวายหยิกเสียให้เนื้อเขียวหรอกเพคะ” ยอนฮวาเอ่ยเสียงเข้ม


             “ใจร้าย  พี่หญิงจะหยิกเราจนเนื้อเขียวจริง ๆ หรือนี่” มิวายถ่วงเวลาสรงน้ำไว้ให้นานที่สุด


             “จริงสิเพคะ  แล้วหากหม่อมฉันใจจริง  ทูลกระหม่อมคงมิได้ทรงจางโฮออกไปเที่ยวเล่นเป็นแน่แท้”


             องค์ชายน้อยส่ายพระพักตร์ไปมาก่อนจะจำใจเดินตามคุณข้าหลวงไปยังส่วนห้องสรงอย่างเลี่ยงมิได้


             “ทรงรีบสรงเถอะเพคะ เพลานี้องค์ราชันคงรอทูลกระหม่อมไปเข้าเฝ้าอยู่  เพราะเมื่อบ่ายทรงให้มหาดเล็กมาทูลเชิญทูลกระหม่องและองค์ชายใหญ่เข้าเฝ้า”

             พระหัตถ์บางยื้อชุดชาวบ้านไว้ทันทีที่เห็นยอนฮวาหยิบขึ้นมา

             “พี่หญิงคงไม่ได้จะเอาชุดเราไปทิ้งใช่ไหม” องค์ชายน้อยรับสั่งแกมหยอก

             “เฮ้อ  หม่อมฉันจะทำอย่างไรกับทูลกระหม่อมดีนะ  จะเอาไปให้นางกำนัลไปซักทำความสะอาดให้พระองค์ละเพคะ” เอ่ยทูลก่อนจะถวายความเคารพและออกจากห้องทรงสรงโดยปล่อยให้องค์ชายน้อยทรงสรงน้ำเพียงลำพัง


             “เสด็จพ่อ...” องค์ชายน้อยถวายความเคารพแทบพระบาทองค์ราชันแห่งพูยอ


             “องค์ชายน้อย  ได้ข่าวว่าวันนี้ทำเอายอนฮวาวุ่นวายตามหาทั้งตำหนักเลยรึ” รับสั่งเย้า

             “ก็เสด็จพ่อทรงอนุญาตแล้วให้ลูกออกไปขี่ม้าเล่นได้  แล้วใยต้องอยู่เฝ้าตำหนัก”


             “แต่อย่างไรควรบอกกล่าวยอนฮวาไว้บ้าง  อย่าให้เกิดเหตุการณ์แบบนี้อีกองค์ชายน้อย” องค์ชายน้อยแอบชักพระพักตร์อย่างไม่ใคร่พอพระทัย


             “ถ้าลูกบอก  พี่หญิงก็ไม่แคล้วให้องค์รักษ์ติดตามไปนับสิบ   แบบนี้จะเที่ยวเล่นแบบสามัญชนได้เยี่ยงไร”


             “แล้วการมีองค์รักษ์จะทำให้ไม่สามารถเที่ยวเล่นได้ตรงไหน” บุรุษในชุดเครื่องทรงอย่างเป็นทางการขององค์รัชทายาทลำดับที่หนึ่งของพูยอเอ่ยขึ้น   หลังจากมาทันได้ยินพระอนุชาที่มีชันษาอ่อนกว่าเพียงสองขวบปีรับสั่งพอดิบพอดี


             “โธ่...ท่านพี่เซฮุน  ลองมีคนเดินตามเป็นพรวนแบบนั้น  ชาวบ้านร้านตลาดไม่ตกใจให้มันรู้ไป” องค์ชายน้อยทรงแย้งขึ้นก่อนที่พระพักตร์ใสเชิดขึ้นบ่งบอกว่ากำลังจะงอน

             “พ่อว่า เพราะองค์รักษ์พวกนั้นไม่ตามใจเราเสียมากกว่าคยองซู”

             “เสด็จพ่อทรงรู้ใจลูกที่สุด”

             องค์ชายใหญ่ได้แต่ลอบถอนพระอัสสาสะเพราะอย่างไรเสียบนแผ่นดินพูยอก็ไม่มีใครกล้าขัดพระทัยขององค์ชายน้อย  พระองค์ทรงอยากรู้นักใครจะเป็นผู้มาดัดนิสัยของเด็กดื้อนี่ได้

             “หากแค่ลูกชายทั้งสองคน  พ่อยังไม่รู้จักและรู้ใจพวกเจ้าดีพอแล้วพ่อจะปกครองพูยอได้อย่างไร”  ท้ายรับสั่งทรงกรรสะ  รู้สึกแน่นในพระอุระ  แต่มิได้ทรงรับสั่งใด ๆ ออกมา  ด้วยเกรงพระโอรสทั้งสองพระองค์จะวิตกไปโดยเฉพาะองค์ชายน้อย

             “เสด็จพ่อ ทรงประชวรหรือพ่ะย่ะค่ะ  ลูกใคร่ขอพระราชทานอนุญาตตรวจพระวรกายแทนหมอหลวงเสียเอง” องค์ชายน้อยรีบทูลเพราะด้วยตัวของพระองค์มีฝีมือเรื่องรักษาโรคภัยไข้เจ็บไม่แพ้หมอหลวงหรือผู้ใดบนแผ่นดินพูยอ  จนมีคำกล่าวว่าไม่มีโรคใดบนโลกที่องค์ชายน้อยแห่งพูยอจะรักษาให้หายขาดมิได้

             “พ่อมิได้เป็นอะไรมากหรอกคยองซู  แค่อากาศเปลี่ยนเลยเป็นหวัดนิดหน่อยก็เท่านั้น”

             “เชื่ออย่างที่เสด็จพ่อตรัสเถอะลูกรัก”

             “เสด็จแม่...” พระพักตร์บางหันไปมององค์รานีแห่งพูยอ  ที่เพิ่งเสด็จกลับมาจากวิปัสสนาที่พระอุโบสถเอ่ยขึ้น

          “ลูกคิดถึงเสด็จแม่ที่สุดเลย  ทรงไม่อยู่เสียหลายวันนางกำนัลต่างทำน้ำแกงมิถูกปากลูกเลยสักคน” ทูลออดอ้อนพระมารดาก่อนเอนกายซบ

             “อ้าวองค์ชายใหญ่  เหตุใดทรงทำพระพักตร์เช่นนั้นหรือไม่ดีใจที่เห็นแม่”

             “เปล่าหรอกพ่ะย่ะค่ะเสด็จแม่  เพียงแค่ลูกหมั่นไส้องค์ชายน้อยของพูยอเท่านั้นเอง”

             “ท่านพี่เซฮุน!!!”  องค์ชายใหญ่เลิกพระขนงขึ้นอย่างยียวนพระอนุชา

             “พวกเจ้าทั้งคู่นี่นะ  ไปพักเถอะไป  ขอเวลาแม่คุยอะไรกับเสด็จพ่อเสียหน่อยเถอะ” องค์แจจุงเอ่ยอย่างนิ่มนวลและทรงแย้มพระสรวลกว้าง


             สององค์ชายมองกันนิ่ง ๆ ก่อนจะรับคำและพากันกลับออกไปจากห้องทรงงานขององค์ราชันแห่งพูยอเงียบ ๆ  




             “ท่านพี่เซฮุน  จะไปโรงฝึกศราวุธอีกเมื่อไร” องค์ชายใหญ่เซฮุนหันกลับมามองพระพักตร์อ่อนใจนวลละไมของพระอนุชา


             “ทำไมรึ  ปกตินอกจากหนังสือตำราการแพทย์กับการเที่ยวเล่นนอกวัง  เรามิเห็นเจ้าจะสนใจฝึกศาสตราวุธ”

             “โธ่  ท่านพี่  เราก็บุรุษคนหนึ่งนะทักษะในการรบก็ควรจักมีบ้าง” เอ่ยครวญบอกพระเชษฐาก่อนจะรีบก้มพระพักตร์หลบพระเนตรแกร่งที่จับจ้องมา

             “น้องก็แค่อยากฝึกฝนดาบหรือธนูให้คล่อง ๆ เผื่อในภายภาคหน้าหากเกิดเหตุสงครามจะได้รู้จักสู้รบป้องกันตนเองและแผ่นดินพูยอ”


             องค์ชายใหญ่ส่ายพระพักตร์ไปมา  พระอนุชาของพระองค์จะรู้ตัวไหมว่าตัวเองเป็นบุรุษร่างเล็กที่มองผ่าน ๆ แทบจะเป็นอิสตรีมากกว่าบุรุษ  ใบหน้าหวานคมที่ราวกับถ่ายทอดมาจากองค์รานีแจจุงเต็ม ๆ

             “ก็ได้  ถ้าเจ้าอยากฝึกเราไปฝึกกัน”

             “เดี๋ยวก่อน  ท่านพี่  แล้วพวกเราไม่ต้องเปลี่ยนเสื้อผ้าหรอกรึ” เอ่ยถามขึ้นหลังจากพระเชษฐาคว้าหัตถ์บางเอาไว้แล้วลากไปยังโรงฝึกศาสตราวุธพร้อมกับออกคำสั่งเรียกคู่ฝึกมาทันที

             “ยามสงคราม  คงมิมีข้าศึกคนใดให้เจ้าผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าหรอกคยองซู  เพราะงั้นชุดนี้เถอะ”


             พระเนตรวิบวับของพระเชษฐาหลังจากที่พูดจบทำให้องค์ชายน้อยแทบอยากคืนกลับพูดที่เอ่ยออกไปบัดเดี๋ยวนี้!!!




             “ทูลกระหม่อม”


             เฮือก!!!

             พระวรกายบางขององค์ชายน้อยสะดุ้งโหยงก่อนจะหันพระพักตร์มาทรงแย้มสรวลแกมประจบคุณข้าหลวงที่มาปักหลักขว้างทางออกจากตำหนัก

             “พี่หญิงยอนฮวา”

             คุณข้าหลวงคนเก่งยังเสียก็แพ้พระเนตรกลมใสที่ส่งมาปริบ ๆ เช่นเดิม ไม่เคยสักครั้งที่จะทัดทานได้

             “เราจะพาจางโฮไปยืดเส้นยืดสายสักนิด  สามสี่วันมานี่เราอยู่ตำหนักหลวงรักษาผู้คนมากมาย  มันต้องมีการพักผ่อนหย่อนใจกันเสียบ้าง”

             “ทูลกระหม่อม  อย่างทรงเสด็จกลับจนตะวันลับฟ้านะเพคะ”

             “รู้แล้วน้า  เราจะกลับเมื่อฟ้าสางแล้วกัน”

             “อย่าทรงทำเป็นเล่นไปนะเพคะ  ทรงระวังพระองค์ด้วย” ยอนฮวาทูลแต่องค์ชายน้อยจะได้ยินหรือไม่คงบอกยากเพราะครานี้พระองค์เสด็จออกไปไกลแล้วโดยไร้องครักษ์  นับจากนี้คุณข้าหลวงคงได้แต่นับโมงยามคอยองค์ชายน้อยกลับมา







             “จางโฮ  เจ้าเล็มหญ้าอยู่แถวนี้แล้วกัน” องค์ชายน้อยแห่งพูยอเอ่ยบอกอาชาหนุ่มของตนพร้อมตบแผงคอมันเบา ๆ

             “เอาน้า  วันนี้ไม่มีคนสาวหาวนั้นมารังแกเจ้าหรอก  หากวันนั้นเจ้านั้นโผล่มาคงได้ลิ้มชิมรสลูกเกาทัณฑ์ของเราแน่ ๆ หากยังคิดจะทำร้ายเจ้า” ว่าพลางเอื้อมมือบางน้าวเกาทัณฑ์ที่พกมาด้วย  ปล่อยลูกศรพุ่งไปตรงตาไม้ที่อยู่ตรงกลางต้นไม้ใหญ่ที่อยู่ห่างไปเกือบสามสิบหลา

               “ในพูยอ  นอกจากท่านพี่เซฮุน  ฝีมือเกาทัณฑ์ของเราก็ไม่ได้เป็นสองรองใครนะ” เสียงใสเอ่ยขึ้นด้วยความมั่นใจถึงฝีมือในเพลงของตนจะเรียกได้ว่าธรรมดาแต่ถ้าเป็นเกาทัณฑ์ศาสตราวุธที่ไม่ต้องใช้แรงแต่ใช้ความแม่นยำละก็คยองซูไม่เคยเป็นรองใคร

             แต่ความมั่นใจพลันหายไปเมื่อพบว่ามีศรใหม่อีกลูกพุ่งไปยังปักตรงกลางตาไม้เช่นกัน  และที่ทำให้ร่างบางตกใจมากกว่าคือลูกศรนั้นผ่ากลางลูกศรของตนเองไปเลยอย่างแสนอุกอาจ

             “เจ้า!!!

             ดวงตากลมเบิกกว้างเมื่อเห็นว่าใครคือเจ้าของลูกศร

             ชายร่างสูงในชุดพ่อค้าที่ยืนส่งยิ้มพรายข้างม้าสีดำที่ตอนนี้มันกำลังเดินไปยืนเล็มกินหญ้าข้าง ๆ จางโฮ  ประหนึ่งสนิทสนมกันมานาน

             เจ้าคนสามหาว

             “ดีใจที่เจ้ายังจำเราได้  เจ้าเด็กน้อย”

             สีหน้ายิ้ม ๆ เหมือนผู้ใหญ่พูดกับเด็กยิ่งทำให้ร่างบางรู้สึกฉุนเฉียว

             “เราไม่ใช่เด็กน้อยแล้วนะ”

             ร่างสูงมองเจ้าเด็กน้อยที่มีรูปร่างบอบบางขู่ฟ่อ ๆ ทั้งที่สูงยังไม่ถึงปลายคางเขาเสียด้วยซ้ำ

             “ถ้าไม่ใช่เด็กแล้วใยเจ้าถึงได้สูงเพียงนี้เราละฮึ  เจ้าเด็กน้อย”

             “สามหาว  ถอนคำพูดเดี๋ยวนี้” มือไวกว่าสมองสั่งการร่างบอบบางส่งกำปั้นเล็กกะให้เสยใส่ปลายคางของร่างสูงที่มีไรหนวดบาง ๆ นั้นกะให้โดนจัง ๆ เลยทีเดียว


             แต่ดูเหมือนอะไรมันจะไม่เป็นใจ


             “เอ๊ะ...” เสียงใสร้องขึ้นเมื่ออีกฝ่ายรับหมัดของตัวเองได้  และถือโอกาสดึงร่างบอบบางเข้ามาในอ้อมกอด

             ดวงตาคมสีนิลมองสบกันอยู่ชั่วครู่

             “เด็ก...ก็คือเด็กอยู่วันยังค่ำ  นะเจ้าเด็กน้อยเอ่ย” เสียงทุ้มที่เอ่ยข้างใบหูเล็กมันทำให้ผู้เป็นเจ้าของถึงกับมีใบหน้าขึ้นสีระเรื่อ






 +++++++tbc++++++++++++++++++

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น