[Fic EXO] Shine [Kaido,Chanbaek, Hunhan]
By winata
Chapter
1 :30ราตรี
ทหารหมู่หนึ่ง ราว ๆ
เกือบสามสิบนายค้อมกายถวายความเคารพพร้อมเพรียงเมื่อผู้นายเหนือหัวทรงม้ากลับมายังค่ายพักแรมในแนวป่าทึบใกล้เทือกเขาสูงแนวชายแดนระหว่างพูยอและมาฮัน
ทหารนายหนึ่งมารับโฮฮงสีนิลไปดูแลให้หญ้าให้น้ำพร้อมน้ำอ้อยอย่างให้ให้สมกับที่เป็นอาชาทรงขององค์ราชัน
“ชานยอล”
รับทรงเรียกนายทหารคู่พระทัยให้ตามเข้าไปในกระโจมที่ประทับส่วนพระองค์ ก่อนจะเอ่ยสนทนา
“เจ้าต้องทายไม่ถูกเป็นแน่ ว่านี้เราพบผู้ใด”
“ราชันแห่งพูยอ?”
เสียงทูลนอบน้อม
“เหอะ
อาจารย์เฒ่าเรานะรึ
จะมีแรงขี่ม้าออกมานอกเมืองกัน”
รับสั่งทรงเยาะถึงความชราของผู้ที่เคยเป็นพระอาจารย์ให้ตนเมื่อครั้งยังทรงพระเยาว์
“แล้วงั้นพระองค์ทรงพบเจอผู้ใดเล่า หากมิทรงบอก
กระหม่อมก็มิอาจจะเดาได้นอกจากชาวบ้านตาดำ ๆ ของพูยอกระมัง” ชานยอลอดจะเย้าเสียมิได้
“ก็แค่เด็ก ที่ดูยังไม่สิ้นนมเสียคนหนึ่ง”
“เด็ก?”
อดจะเงยหน้าขึ้นมององค์ราชันที่ประทับนั่งอยู่แท่นทรงงานสนามด้วยความสงสัย ว่าเหตุใด “เด็ก”
คนนี้ถึงใดมีความสำคัญจนต้องเอ่ยถึง
“ใช่นะสิชานยอล เจ้าเด็กอวดดีจะตายแล้วยังไม่รู้ตัวเสียอีก
ช่างกล้ามาดูแคลนซึ่งเกียรติยศและชื่อเสียงของเรา”
“สามหาวยิ่งนัก มันคือผู้ใด
กระหม่อมจักไปตัดลิ้นมาถวาย”
“ฮาๆ” ทรงสรวลอย่างพอพระทัย
“กระหม่อมอยากรู้นัก หากเด็กนั่นทราบว่าแท้ที่จริงแล้วพระองค์คือผู้ใด คร้านจะเข่าอ่อนเสียไม่ว่า”
ชานยอลกล่าวหนักแน่นด้วยความมั่นใจในพระบารมีขององค์ราชันจงอิน
“ไม่แน่หรอกชานยอล
เจ้านั้นมันตัวเล็กพริกขี้หนู ท่าทางจะฤทธิ์ไม่เบาทีเดียว เราว่าเรามองคนไม่ผิด”
ชานยอลนิ่งฟังรับสั่ง น้อยครั้ง...ที่องค์ราชันจะเอ่ยชมใคร
“แต่ยังไงเสียคงมิอาจเทียบกับพญาราชสีห์ได้หรอกพระองค์”
“ชานยอล
เจ้าจงอย่าได้ประมาท
แม้พิษจะเล็กน้อยถึงเพียงไหนก็สามารถทำให้คนเราตายได้ง่าย ๆ
เพราะฉะนั้นจงได้อย่าประมาทไป”
ร่างสูงโบกมือไปมาแบบไม่ใส่ใจ
แม้กระแสน้ำเสียงจะราบเรียบแต่นัยน์ตาคมกับวาววับราวกับเจอของเล่นถูกใจ
“แค่เล่าให้ฟังเท่านั้น ไม่ต้องถึงมือเจ้าหรอกชานยอลหากเราจะเอาจริง แล้ววันนี้น้องเล็กส่งสาสน์มาถึงเราหรือไม่”
เอ่ยเปลี่ยนเรื่อง
“ยังไม่มีสาสน์จากพระอนุชามาเลยกระหม่อม”
ก้มหน้าลงมองปลายเท้าเมื่อนึกถึงใครบางคนที่ทำหน้าที่รักษาราชการดูแลทงเยอยู่
“แบคฮยอนนี่ชักเอาใหญ่เสียจริง นี่เราให้คอยรายงานทุกวันนะ
ไปเลยชานยอลจงส่งสาสน์ไปถามความคืบหน้าทางโน้นโดยเร็ว”
เอ่ยบอกพร้อมกวักมือไล่
“พระอนุชาอาจกำลังทรงงานหนักจนมิอาจว่างจะส่งสาสน์ถึง”
รีบแก้ต่างให้ทันที
จนองค์ราชันจงอินอดจะลอบขำนายทหารคู่ใจเสียไม่ได้กับความในใจที่เดียวนี้เริ่มเก็บงำไม่มิด
“หวังว่าจะทำงานจริง ๆ นะ ไม่ใช่แอบหนีไปเที่ยวนอกวังเหมือนเคย ๆ
แถมเจ้ายังมาอยู่นี่กับเราคงไม่มีใครคอยไปตามหาให้กลับวัง” ชานยอลได้แต่ฟังพระสุรเสียงที่แสนแจ่มใสที่เอ่ยถึงพระอนุชาอย่างเงียบ
“เจ้าไปจัดการส่งสาสน์ให้เรียบร้อย
จากนั้นอีกหนึ่งชั่วยามเรียกประชุมให้เราที ตอนนี้เราขอพักผ่อนสักนิด”
รอจนชานยอลออกจากกระโจมไปแล้วพระหัตถ์แกร่ง
ถึงได้เปิดกระบอกสีดำที่มีเครื่องหมายตราสัญลักษณ์ขององค์ราชันแห่งพูยอสลักไว้ที่บรรจุสาสน์สีขาวพร้อมรอยหมึกที่แสนคุ้นเคยอ่านใคร่ครวญอีกครั้ง จากนั้นก็เก็บไว้เช่นเดิม
นัยน์ตาคมรี่ลงอย่างใช้ความคิด หากพระอาจารย์มิได้อับจนหนทางเสียแล้วจริง ๆ คงไม่ทางจะส่งสาสน์เช่นนี้มาถึงตัวพระองค์ภายเมื่อห้าราตรีที่แล้ว
จงยกทัพของทงเย มาตีพูยอภายใน 30 ทิวาราตรี
ถ้อยคำในสาสน์นั้นหากมิได้มีตราราชลัญจกรแห่งองค์ราชันของพูยอที่ประทับลงมา
จงอินอาจคิดเพียงใครบ้างคนที่เจตนาเพียงล้อเล่นและก่อความวุ่นวายใจให้รำคาญ แต่หลังจากตัดสินใจเดินทางมาสอดส่องและสืบข่าวอย่างรวดเร็วสิบราตรี ตอนนี้ไม่แปลกใจเลยว่าองค์ยุนโฮและองค์แจจุงจึงดำริเช่นนี้
“ฝ่าบาท
ท่านลู่หาน ท่านอู๋อี้ฟานและท่านอี้ชิง
มาพร้อมกันแล้วกระหม่อม”
เสียงชานยอลที่ดังอยู่หน้ากระโจมเรียกสติกลับมาสู่องค์จงอิน
“เข้ามาได้”
หลังจากเอ่ยอนุญาตชายหนุ่มทั้งสี่ก็เดินเข้ามายังในกระโจมที่พักพร้อมแล้วที่จะหารือและแลกเปลี่ยนข่าวสาสน์ที่ไปสืบมา
+++++++++++++++++
“ว้าย...หม่อมฉันนึกอยู่แล้วเชียว
ว่าทูลกระหม่อมต้องปลอมตัวออกไปนอกวัง”
คุณข้าหลวงประจำพระองค์เอ่ยพร้อมส่งสายตาค้อนให้
“...”
ไร้สุรเสียงใด ๆ ตอบกลับจากองค์ชายรัชทายาทลำที่สองแห่งพูยอที่บัดนี้ใบหน้าเนียนผ่องใสกว่าบุรุษวัยเดียวกันซีดเซียวยิ่งทำให้ยอนฮวาตกอกใจ
แล้วเจ้าจะเสียใจเมื่อถึงวันนั้น
น้ำเสียงเข้มบ่งบอกความคุกคามมุ่งร้ายมันยังติดอยู่พระกรรณไม่เสื่อมคลาย มันทำให้องค์ชายน้อยตระหนกตกพระทัยยิ่ง
แม้นจะกลับมายังตำหนักที่ประทับส่วนพระองค์ก็ยังเงียบงันและครุ่นคิด
พลางคิดหากมีโอกาสเจอครั้งหน้าบุรุษที่แสนโอหังจะต้องโดนตนสั่งสอนให้จงได้ว่าอย่าริมาอวดอ้างความเก่งกล้าขององค์ราชันอื่นบนแผ่นดินของพูยอ
“เรามิได้เป็นไรหรอกพี่หญิงยอนฮวา เราแค่เหนื่อยวันนี้เราแค่พาจางโฮไปเที่ยวเล่นเสียไกลกว่าปกติ”
บอกพร้อมทรงแย้มพระสรวลประจบ
“เอาอีกแล้วนะเพคะ ทรงชอบแอบออกไปพระองค์อยู่เรื่อยเชียว
หากมีองค์รักษ์ติดตามไปด้วยหม่อมฉันจะมิว่ากระไรเลย นี่หากเกิดอะไรขึ้นจะทำอย่างไร” บ่นอุบอิบเบา ๆ
“โธ่..พี่หญิง เราแต่งกายเช่นนี้ยังต้องห่วงอะไรฮึ”
เอ่ยถามพร้อมกับกอดแนบกายคุณข้าหลวงประจำตัว
ที่เป็นทั้งเพื่อนและพี่สาวที่เติบโตมาพร้อม ๆ กัน
“คร้านต่อปากต่อกับด้วยแล้วนะเพคะ
รีบสรงและทรงรีบเปลี่ยนฉลองพระองค์เถอะเพคะ
อย่างไรเสียชุดชาวนาสามัญเช่นนี้ก็ขว้างหูขว้างตาหม่อมฉัน”
“ไว้ค่อยอาบทีหลังไม่ได้เหรอ ตอนนี้เราง่วงจังเลย” ถ้อยรับสั่งออดอ้อน
พร้อมขยับเนตรปริบ ๆ
“ไม่ได้เพคะ
ทรงออกไปเที่ยวเล่นคลุกฝุ่นจนมอมแมมเช่นนี้แล้วยังจะไม่ทรงสรงน้ำอีก หม่อมฉันรับไม่ได้ เดี๋ยวถวายหยิกเสียให้เนื้อเขียวหรอกเพคะ”
ยอนฮวาเอ่ยเสียงเข้ม
“ใจร้าย พี่หญิงจะหยิกเราจนเนื้อเขียวจริง ๆ หรือนี่”
มิวายถ่วงเวลาสรงน้ำไว้ให้นานที่สุด
“จริงสิเพคะ แล้วหากหม่อมฉันใจจริง
ทูลกระหม่อมคงมิได้ทรงจางโฮออกไปเที่ยวเล่นเป็นแน่แท้”
องค์ชายน้อยส่ายพระพักตร์ไปมาก่อนจะจำใจเดินตามคุณข้าหลวงไปยังส่วนห้องสรงอย่างเลี่ยงมิได้
“ทรงรีบสรงเถอะเพคะ
เพลานี้องค์ราชันคงรอทูลกระหม่อมไปเข้าเฝ้าอยู่
เพราะเมื่อบ่ายทรงให้มหาดเล็กมาทูลเชิญทูลกระหม่องและองค์ชายใหญ่เข้าเฝ้า”
พระหัตถ์บางยื้อชุดชาวบ้านไว้ทันทีที่เห็นยอนฮวาหยิบขึ้นมา
“พี่หญิงคงไม่ได้จะเอาชุดเราไปทิ้งใช่ไหม”
องค์ชายน้อยรับสั่งแกมหยอก
“เฮ้อ หม่อมฉันจะทำอย่างไรกับทูลกระหม่อมดีนะ
จะเอาไปให้นางกำนัลไปซักทำความสะอาดให้พระองค์ละเพคะ” เอ่ยทูลก่อนจะถวายความเคารพและออกจากห้องทรงสรงโดยปล่อยให้องค์ชายน้อยทรงสรงน้ำเพียงลำพัง
“เสด็จพ่อ...”
องค์ชายน้อยถวายความเคารพแทบพระบาทองค์ราชันแห่งพูยอ
“องค์ชายน้อย
ได้ข่าวว่าวันนี้ทำเอายอนฮวาวุ่นวายตามหาทั้งตำหนักเลยรึ” รับสั่งเย้า
“ก็เสด็จพ่อทรงอนุญาตแล้วให้ลูกออกไปขี่ม้าเล่นได้ แล้วใยต้องอยู่เฝ้าตำหนัก”
“แต่อย่างไรควรบอกกล่าวยอนฮวาไว้บ้าง อย่าให้เกิดเหตุการณ์แบบนี้อีกองค์ชายน้อย”
องค์ชายน้อยแอบชักพระพักตร์อย่างไม่ใคร่พอพระทัย
“ถ้าลูกบอก พี่หญิงก็ไม่แคล้วให้องค์รักษ์ติดตามไปนับสิบ แบบนี้จะเที่ยวเล่นแบบสามัญชนได้เยี่ยงไร”
“แล้วการมีองค์รักษ์จะทำให้ไม่สามารถเที่ยวเล่นได้ตรงไหน”
บุรุษในชุดเครื่องทรงอย่างเป็นทางการขององค์รัชทายาทลำดับที่หนึ่งของพูยอเอ่ยขึ้น หลังจากมาทันได้ยินพระอนุชาที่มีชันษาอ่อนกว่าเพียงสองขวบปีรับสั่งพอดิบพอดี
“โธ่...ท่านพี่เซฮุน ลองมีคนเดินตามเป็นพรวนแบบนั้น ชาวบ้านร้านตลาดไม่ตกใจให้มันรู้ไป” องค์ชายน้อยทรงแย้งขึ้นก่อนที่พระพักตร์ใสเชิดขึ้นบ่งบอกว่ากำลังจะงอน
“พ่อว่า
เพราะองค์รักษ์พวกนั้นไม่ตามใจเราเสียมากกว่าคยองซู”
“เสด็จพ่อทรงรู้ใจลูกที่สุด”
องค์ชายใหญ่ได้แต่ลอบถอนพระอัสสาสะเพราะอย่างไรเสียบนแผ่นดินพูยอก็ไม่มีใครกล้าขัดพระทัยขององค์ชายน้อย
พระองค์ทรงอยากรู้นักใครจะเป็นผู้มาดัดนิสัยของเด็กดื้อนี่ได้
“หากแค่ลูกชายทั้งสองคน
พ่อยังไม่รู้จักและรู้ใจพวกเจ้าดีพอแล้วพ่อจะปกครองพูยอได้อย่างไร” ท้ายรับสั่งทรงกรรสะ รู้สึกแน่นในพระอุระ แต่มิได้ทรงรับสั่งใด ๆ ออกมา
ด้วยเกรงพระโอรสทั้งสองพระองค์จะวิตกไปโดยเฉพาะองค์ชายน้อย
“เสด็จพ่อ
ทรงประชวรหรือพ่ะย่ะค่ะ
ลูกใคร่ขอพระราชทานอนุญาตตรวจพระวรกายแทนหมอหลวงเสียเอง”
องค์ชายน้อยรีบทูลเพราะด้วยตัวของพระองค์มีฝีมือเรื่องรักษาโรคภัยไข้เจ็บไม่แพ้หมอหลวงหรือผู้ใดบนแผ่นดินพูยอ
จนมีคำกล่าวว่าไม่มีโรคใดบนโลกที่องค์ชายน้อยแห่งพูยอจะรักษาให้หายขาดมิได้
“พ่อมิได้เป็นอะไรมากหรอกคยองซู แค่อากาศเปลี่ยนเลยเป็นหวัดนิดหน่อยก็เท่านั้น”
“เชื่ออย่างที่เสด็จพ่อตรัสเถอะลูกรัก”
“เสด็จแม่...”
พระพักตร์บางหันไปมององค์รานีแห่งพูยอ
ที่เพิ่งเสด็จกลับมาจากวิปัสสนาที่พระอุโบสถเอ่ยขึ้น
“ลูกคิดถึงเสด็จแม่ที่สุดเลย
ทรงไม่อยู่เสียหลายวันนางกำนัลต่างทำน้ำแกงมิถูกปากลูกเลยสักคน”
ทูลออดอ้อนพระมารดาก่อนเอนกายซบ
“อ้าวองค์ชายใหญ่ เหตุใดทรงทำพระพักตร์เช่นนั้นหรือไม่ดีใจที่เห็นแม่”
“เปล่าหรอกพ่ะย่ะค่ะเสด็จแม่
เพียงแค่ลูกหมั่นไส้องค์ชายน้อยของพูยอเท่านั้นเอง”
“ท่านพี่เซฮุน!!!” องค์ชายใหญ่เลิกพระขนงขึ้นอย่างยียวนพระอนุชา
“พวกเจ้าทั้งคู่นี่นะ ไปพักเถอะไป
ขอเวลาแม่คุยอะไรกับเสด็จพ่อเสียหน่อยเถอะ” องค์แจจุงเอ่ยอย่างนิ่มนวลและทรงแย้มพระสรวลกว้าง
สององค์ชายมองกันนิ่ง
ๆ ก่อนจะรับคำและพากันกลับออกไปจากห้องทรงงานขององค์ราชันแห่งพูยอเงียบ ๆ
“ท่านพี่เซฮุน จะไปโรงฝึกศราวุธอีกเมื่อไร”
องค์ชายใหญ่เซฮุนหันกลับมามองพระพักตร์อ่อนใจนวลละไมของพระอนุชา
“ทำไมรึ ปกตินอกจากหนังสือตำราการแพทย์กับการเที่ยวเล่นนอกวัง เรามิเห็นเจ้าจะสนใจฝึกศาสตราวุธ”
“โธ่ ท่านพี่
เราก็บุรุษคนหนึ่งนะทักษะในการรบก็ควรจักมีบ้าง” เอ่ยครวญบอกพระเชษฐาก่อนจะรีบก้มพระพักตร์หลบพระเนตรแกร่งที่จับจ้องมา
“น้องก็แค่อยากฝึกฝนดาบหรือธนูให้คล่อง
ๆ เผื่อในภายภาคหน้าหากเกิดเหตุสงครามจะได้รู้จักสู้รบป้องกันตนเองและแผ่นดินพูยอ”
องค์ชายใหญ่ส่ายพระพักตร์ไปมา
พระอนุชาของพระองค์จะรู้ตัวไหมว่าตัวเองเป็นบุรุษร่างเล็กที่มองผ่าน ๆ
แทบจะเป็นอิสตรีมากกว่าบุรุษ
ใบหน้าหวานคมที่ราวกับถ่ายทอดมาจากองค์รานีแจจุงเต็ม ๆ
“ก็ได้ ถ้าเจ้าอยากฝึกเราไปฝึกกัน”
“เดี๋ยวก่อน ท่านพี่
แล้วพวกเราไม่ต้องเปลี่ยนเสื้อผ้าหรอกรึ”
เอ่ยถามขึ้นหลังจากพระเชษฐาคว้าหัตถ์บางเอาไว้แล้วลากไปยังโรงฝึกศาสตราวุธพร้อมกับออกคำสั่งเรียกคู่ฝึกมาทันที
“ยามสงคราม คงมิมีข้าศึกคนใดให้เจ้าผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าหรอกคยองซู เพราะงั้นชุดนี้เถอะ”
พระเนตรวิบวับของพระเชษฐาหลังจากที่พูดจบทำให้องค์ชายน้อยแทบอยากคืนกลับพูดที่เอ่ยออกไปบัดเดี๋ยวนี้!!!
“ทูลกระหม่อม”
เฮือก!!!
พระวรกายบางขององค์ชายน้อยสะดุ้งโหยงก่อนจะหันพระพักตร์มาทรงแย้มสรวลแกมประจบคุณข้าหลวงที่มาปักหลักขว้างทางออกจากตำหนัก
“พี่หญิงยอนฮวา”
คุณข้าหลวงคนเก่งยังเสียก็แพ้พระเนตรกลมใสที่ส่งมาปริบ
ๆ เช่นเดิม ไม่เคยสักครั้งที่จะทัดทานได้
“เราจะพาจางโฮไปยืดเส้นยืดสายสักนิด
สามสี่วันมานี่เราอยู่ตำหนักหลวงรักษาผู้คนมากมาย มันต้องมีการพักผ่อนหย่อนใจกันเสียบ้าง”
“ทูลกระหม่อม อย่างทรงเสด็จกลับจนตะวันลับฟ้านะเพคะ”
“รู้แล้วน้า เราจะกลับเมื่อฟ้าสางแล้วกัน”
“อย่าทรงทำเป็นเล่นไปนะเพคะ ทรงระวังพระองค์ด้วย”
ยอนฮวาทูลแต่องค์ชายน้อยจะได้ยินหรือไม่คงบอกยากเพราะครานี้พระองค์เสด็จออกไปไกลแล้วโดยไร้องครักษ์ นับจากนี้คุณข้าหลวงคงได้แต่นับโมงยามคอยองค์ชายน้อยกลับมา
“จางโฮ เจ้าเล็มหญ้าอยู่แถวนี้แล้วกัน”
องค์ชายน้อยแห่งพูยอเอ่ยบอกอาชาหนุ่มของตนพร้อมตบแผงคอมันเบา ๆ
“เอาน้า วันนี้ไม่มีคนสาวหาวนั้นมารังแกเจ้าหรอก
หากวันนั้นเจ้านั้นโผล่มาคงได้ลิ้มชิมรสลูกเกาทัณฑ์ของเราแน่ ๆ
หากยังคิดจะทำร้ายเจ้า” ว่าพลางเอื้อมมือบางน้าวเกาทัณฑ์ที่พกมาด้วย
ปล่อยลูกศรพุ่งไปตรงตาไม้ที่อยู่ตรงกลางต้นไม้ใหญ่ที่อยู่ห่างไปเกือบสามสิบหลา
“ในพูยอ
นอกจากท่านพี่เซฮุน
ฝีมือเกาทัณฑ์ของเราก็ไม่ได้เป็นสองรองใครนะ” เสียงใสเอ่ยขึ้นด้วยความมั่นใจถึงฝีมือในเพลงของตนจะเรียกได้ว่าธรรมดาแต่ถ้าเป็นเกาทัณฑ์ศาสตราวุธที่ไม่ต้องใช้แรงแต่ใช้ความแม่นยำละก็คยองซูไม่เคยเป็นรองใคร
แต่ความมั่นใจพลันหายไปเมื่อพบว่ามีศรใหม่อีกลูกพุ่งไปยังปักตรงกลางตาไม้เช่นกัน และที่ทำให้ร่างบางตกใจมากกว่าคือลูกศรนั้นผ่ากลางลูกศรของตนเองไปเลยอย่างแสนอุกอาจ
“เจ้า!!!”
ดวงตากลมเบิกกว้างเมื่อเห็นว่าใครคือเจ้าของลูกศร
ชายร่างสูงในชุดพ่อค้าที่ยืนส่งยิ้มพรายข้างม้าสีดำที่ตอนนี้มันกำลังเดินไปยืนเล็มกินหญ้าข้าง
ๆ จางโฮ ประหนึ่งสนิทสนมกันมานาน
‘เจ้าคนสามหาว’
“ดีใจที่เจ้ายังจำเราได้ เจ้าเด็กน้อย”
สีหน้ายิ้ม
ๆ เหมือนผู้ใหญ่พูดกับเด็กยิ่งทำให้ร่างบางรู้สึกฉุนเฉียว
“เราไม่ใช่เด็กน้อยแล้วนะ”
ร่างสูงมองเจ้าเด็กน้อยที่มีรูปร่างบอบบางขู่ฟ่อ
ๆ ทั้งที่สูงยังไม่ถึงปลายคางเขาเสียด้วยซ้ำ
“ถ้าไม่ใช่เด็กแล้วใยเจ้าถึงได้สูงเพียงนี้เราละฮึ เจ้าเด็กน้อย”
“สามหาว ถอนคำพูดเดี๋ยวนี้”
มือไวกว่าสมองสั่งการร่างบอบบางส่งกำปั้นเล็กกะให้เสยใส่ปลายคางของร่างสูงที่มีไรหนวดบาง
ๆ นั้นกะให้โดนจัง ๆ เลยทีเดียว
แต่ดูเหมือนอะไรมันจะไม่เป็นใจ
“เอ๊ะ...”
เสียงใสร้องขึ้นเมื่ออีกฝ่ายรับหมัดของตัวเองได้
และถือโอกาสดึงร่างบอบบางเข้ามาในอ้อมกอด
ดวงตาคมสีนิลมองสบกันอยู่ชั่วครู่
“เด็ก...ก็คือเด็กอยู่วันยังค่ำ นะเจ้าเด็กน้อยเอ่ย”
เสียงทุ้มที่เอ่ยข้างใบหูเล็กมันทำให้ผู้เป็นเจ้าของถึงกับมีใบหน้าขึ้นสีระเรื่อ
+++++++tbc++++++++++++++++++
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น