วันเสาร์ที่ 30 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

Chapter 3 :ล่าสัตว์

[Fic EXO] Shine [Kaido,Chanbaek, Hunhan]
By winata
Chapter  3 :ล่าสัตว์


            “คยองซู  วันนี้ฟ้าฝนตกอาจพิโรธเมื่อน้องรักอยู่ติดเรือนยา” เซฮุนรับสั่งอ่อนโยนกึ่งหยอกพระอนุชาที่ค่ำเคร่งอยู่ในเรือนยาของวังหลวง  สถานที่คิดค้นยารักษาโรค  ซึ่งองค์ชายคยองซูที่เหมือนจะสืบทอดความรู้ด้านแพทย์จากองค์รานีแจจุงมาจนเกือบหมดเปลือกในขณะที่ตนเองหาได้มีความรู้ด้านนี้ไม่นอกจากวิชายุทธ์และเชิงรบเท่านั้น

            “หม่อมฉันกำกับอยู่เพคะ  วันนี้เลยมิทรงแอบไปเที่ยวเล่นที่ใด” ข้าหลวงยอนฮวาทูลเจือยิ้ม

            “ดีแล้วละพี่หญิง  ช่วงนี้มิปลอดภัยที่จะปล่อยองค์ชายน้อยของใคร ๆ ไปไหนมาไหนเพียงลำพัง” เอ่ยรับสั่งอย่างเป็นนัยรับรู้กันในเมื่อแขกต่างเมืองยังมิยอมกลับไปเสียง่าย ๆ


            “เข้ากันเป็นปี่เป็นขลุ่ยเลยนะ  เราอยากรู้นักผู้ใดกันนะจะมาเป็นพระชายาขององค์รัชทายาทอันดับหนึ่ง เพราะผู้นั้นย่อมน่าสงสารหากคิดจะมาดูแลองค์ชายปากจัดและเจ้าระเบียบเช่นท่านพี่” เอ่ยขึ้นพร้อมส่งยิ้มหวานจนคนโดนยั่วโมโหได้แต่โคลงศีรษะเพราะโกรธมิลงเพราะรอยยิ้มนั้น


            “ชายาของเราจักเป็นผู้ใดมิสำคัญ   เท่ากับที่ตัวเจ้าหรอกองค์ชายน้อย   ว่าจะเป็นไปชายาของผู้ใดคยองซูน้องรัก”


            พระพักตร์ที่ผ่องเกินกว่าบุรุษธรรมดาเริ่มเง้างอ  เมื่อโดนพระเชษฐาเย้าแหย่แต่ต้องเสกริ้วกลบเกลื่อนความอุธัจไว้เพราะยามนี้ในพระทัยหวนคิดถึงใบหน้าคมพร้อมนัยน์ตาดุๆ ของบุรุษแปลกหน้าชาวทงเยผู้นั้น!!!


         “เราเป็นชายต้องมีพระชายา  มิได้จะเป็นพระชายาของผู้ใด”


            “แต่พี่มองเยี่ยงไร ไม่แคล้วเจ้าจะต้องเป็นพระชายาขององค์ชายสักพระองค์หรืออาจเป็นถึงองค์รานีก็จักเป็นได้” เซฮุนมิอาจรู้เลยว่าถ้อยคำที่เอ่ยเย้าแหย่พระอนุชาเล่น ๆ จะเป็นจริงในอนาคตข้างหน้า


            “เซฮุน  โอ้ย!!!” คราวนี้องค์ชายน้อยทรงกริ้วจริง ๆ เพราะน้ำร้อนจากหม้อเคี่ยวยากระเซ็นขึ้นมาโดนพระหัตถ์บาง


            “ว้าย..ทูลกระหม่อม” คุณข้าหลวงประจำพระวรกายแทบเต้นเมื่อเห็นรอยแดงเป็นปื้นขึ้น  พร้อมร้องเรียกนางกำนัลหายาเสียให้วุ่น


            “จะเอ็ดตะโรทำไมกันพี่หญิงยอนฮวา  ลืมหรือไรว่าเองก็เป็นหมอ  แผลแค่นี้มิสามารถทำไรเราได้หรอกทายาเพียงนิดหน่อยก็หายแล้ว  มิใช่แผลที่เราเสียเลือดท่วมตัวเสียก่อนเถอะค่อยร้องเรียกคนมาช่วย”


            “ทูลกระหม่อม  ทรงอย่าเอ่ยอะไรเป็นรางเช่นนี้อีกนะเพคะโบราณเค้าถือ” คุณข้าหลวงยอนฮวาเอ่ยท้วงเบาๆ


            “อะไรกันพี่หญิง  องค์ชายน้อยของพี่ก็พูดจาโผงเผงเช่นนี้มาตั้งแต่ไหนแต่ไร  ยังมิชินอีกรึ” องค์ชายเซฮุนรับสั่งกลั้วแย้มสรวล


            “อย่างไรก็มิชินเพคะ” ทูลตอบด้วยน้ำเสียงงอน ๆ ที่องค์ชายทั้งสองต่างลอบสรวล


            “จริงสิ  วันนี้ท่านพี่คงมีได้มาเยี่ยมเยือนเราถึงเรือนยาเพียงแค่คิดถึงน้องกระมัง”


            “จะมาชวนไปล่าสัตว์”


         พระขนงได้รูปงามขององค์ชายน้อยคยองซูเลิกขึ้นอย่างแปลกพระทัยเมื่อเห็นกิริยาค่อนข้างฉุนเฉียวราวกับไม่พอใจในการมาเอ่ยชวนไปล่าสัตว์  ทั้งที่เซฮุนต่างรู้ดีว่ามิทรงโปรดปรานการล่าสัตว์ใด ๆ 


            “ก็ทรง...” ยังทูลไม่จบก็ถูกเสียงเข้มขัดขึ้น


            “เสด็จพ่ออยากให้เราทั้งคู่ไปล่าสัตว์เป็นเพื่อนองค์ชายซึงรี”


            สีพระพักตร์กังวลใจของพระเชษฐาเริ่มทำให้คยองซูเริ่มรู้สึกถึงความไม่ชอบมาพากล  เพราะองค์ชายต่างแดนผู้นี้มาเยือนพูยอบ่อยเสียความจำเป็นในรอบหลายเดือน


            “งั้นเราคงต้องต้องไปสินะ”


            “แต่เรามิอยากให้เจ้าไปนะ” เสียงทุ้มเอ่ยขึ้นก่อนที่พระวรกายสูงขององค์ชายเซฮุนพร้อมเหล่าราชองค์รักษ์จะเสด็จกลับยังตำหนักรัชทายาทอันดับหนึ่งแห่งพูยอ


            “พี่หญิงยอนฮวา”


            “เพคะทูลกระหม่อม” แววตาของคุณข้าหลวงคนสนิทที่ฉายแววเสียจนปิดไม่มิด    แล้วไหนจะปฏิกิริยาจากพระเชษฐาที่แสดงออกจากโจ่งแจ้งก็ทำให้ทรงคาดคะเนเรื่องราว ๆ ได้


            สองวันถัดมาที่เป็นวันไปล่าสัตว์  องค์ชายน้อยแห่งพูยอทรงฉลองพระองค์ทะมัดทะแมงเยี่ยงบุรุษธรรมดาสามัญชนโดยทั่วไปก่อนจะตามไปสมทบกับขบวนของพระเชษฐาและอาคันตุกะต่างแดน  ก่อนที่จะออกจากตำหนักหลวง


            “ไหนเซฮุนบอกเราว่า  องค์ชายน้อยมีคนไข้หนักจักต้องไปรักษามิอาจร่วมขบวนไปได้” องค์ชายซึงรีชักบังเหียนอาญาสีน้ำตาลเข้มเข้ามาใกล้พระวรกายบอบบาง  พลางแย้มสรวลส่งไมตรีให้


            “ฮะ..แฮ่ม  รีบออกเดินทางกันเถอะก่อนที่แดดจะแรงกว่านี้  คยองซูน้องอย่าทำตัวให้เป็นภาระแก่ผู้ใดนะ” รับสั่งเชิงเข้มงวดในขณะสายพระเนตรตวัดมองแขกต่างแดนแบบไม่เป็นมิตร

            “เราสัญญาท่านพี่เซฮุน” เอ่ยรับสั่งหนักแน่นก่อนจะทรงม้าออกเดินทาง

            คณะล่าสัตว์ประกอบด้วยพี่น้องสองพระองค์แห่งพูยอและอาคันตุกะต่างแดนจากรอกเจ  พร้อมด้วยเหล่าองค์รักษ์ที่มากล้นด้วยฝีมืออีกสิบนาย 

            ผืนป่าแห่งพูยออุดมด้วยฝูงสัตว์นานาชนิด  ซึ่งคณะล่าสัตว์มุ่งมั่นที่จะล่ากวางและเสือดาวที่มีอยู่ชุกชุมโดยมีองค์ชายซึงรีดำริขึ้น 


            คงมีแต่องค์ชายน้อยเพียงผู้เดียวที่ได้แต่สวดมนต์อ้อนวอนต่อสิ่งศักดิ์  อย่าให้ได้มีสัตว์ใหญ่ใด ๆ หลงเข้ามาใกล้ในขบวนล่าสัตว์ครั้งนี้แต่อย่างไรเสียก็คงมิเป็นผล  เมื่อพระเนตรกลมโตมองเห็นองค์ซึงรีกำลังง้างเกาทัณฑ์จะปล่อยลูกศรไปยังกวางหนุ่มตัวโตที่มีเขาอันสวยงาม


            ด้วยเพราะรู้หากศรขององค์ชายซึงรีพลาดจักต้องมีศรของเหล่าองค์รักษ์ถูกปล่อยออกไปเป็นแน่แท้  เสี้ยววินาทีเดียวพระหัตถ์บางก็รั้งสายบังเหียนของเจ้าจางโฮอย่างแรง  เป็นผลให้อาชาหนุ่มสีขาวปลอดหวีดร้องเสียงแหลมขึ้นมาขัดจังหวะส่งผลให้กวางหนุ่มกระโจนหนีหายไปรวมถึงเป็นเหตุให้สัตว์ป่าแถวนั้นหนีลี้หายไปทันที!!!


            “องค์ชายน้อย” องค์ชายซึงรีเอ่ยขึ้นด้วยความกริ้วกรุ่น   เพราะรู้ว่าอีกฝ่ายเจตนาจะช่วยสัตว์ป่าตัวนั้น  จ้องพระพักตร์นวลที่ทรงติดหทัยตั้งแต่คราแรกที่เสด็จตามพระบิดามาเยี่ยมองค์ราชันยุนโฮ

            “จู่ ๆ จางโฮก็ร้องขึ้นมา” องค์ชายน้อยวางพระพักตร์ใสซื่อประหนึ่งไม่รู้เรื่องราวใด ๆ


            อาชาที่ถูกฝึกมาอย่างดีจะแตกวินัยได้อย่างไรหากมิใช่ผู้เป็นเจ้าของเจตนาทำให้อาชาของตนหวีดร้องขึ้นมาเสียเอง


            “ทรงเจตนาจะช่วยกวางตัวนั้นใช่หรือไม่”


            “...”

            เซฮุนที่ทรงชักม้าเข้ามาใกล้ทั้งสองพระองค์ที่ยังมองสบพระเนตรกันอยู่  แล้วยิ่งกิริยาเงียบไม่มีคำตอบใด ๆ 
จากคยองซู  นั่นคือการดื้อเงียบที่ทั้งตัวพระองค์เองและคุณข้าหลวงยอนฮวาเจอประจำ


            “ชาวพูยอกล้าทำต้องกล้ารับ”

            พระเนตรกลมเสหลบพระเนตรคมของพระเชษฐาที่ทอดเสียงเนิบหนัก

            “เราสงสารมัน”

            “พวกเรามาล่าสัตว์มิได้มาโปรดสัตว์” องค์ชายซึงรีเอ่ย

            “ความใจอ่อนของเจ้า  วันหน้าอาจพาเสียการณ์ใหญ่ได้นะคยองซู”

            เรียวโอษฐ์อิ่มเม้มสนิทเพราะนอกจากพระเชษฐาจะมิทรงเข้าข้างแล้วยังเอ่ยวาจาเฉือดเฉือน


            “หากพวกท่านคิดแต่จะใช้กำลังในการปกครองบ้านเมือง  มิช้ามินานจักมีประชาชนตาดำ ๆ ลุกขึ้นสู้อย่างแน่นอน  ล่าสัตว์ป่าก็เช่นกันเหตุใดไม่คิดถึงใจเค้าใจเราเล่า  พวกเรามิเดือดร้อนจนต้องออกมาล่ามัน”


            “อย่าเฉไฉ  เราว่าการล่าสัตว์คงมิเหมาะกับเจ้าเสียจริงๆ คยองซู  กลับวังหลวงเสียเถอะเพราะมือของเจ้าเหมาะแก่การรักษาผู้ป่วยเสียมากกว่าการจับอาวุธ” เอ่ยตัดบทก่อนจะเอ่ยรับสั่งองค์รักษ์ให้พาองค์ชายน้อยเสด็จกลับยังวังหลวง


            “เราจะกลับเอง  มิต้องให้ใครมาลำบากเพราะเราดอกเชิญเกษมสำราญเสียให้พอพระทัย”


            “ไม่ต้องตาม  คืนนี้เราจะพักอยู่ตรงริมธารของป่าข้างหน้าพวกเจ้าไปกางเต้นท์ได้” รีบรับสั่งเอ่ยห้ามก่อนที่องค์รักษ์เตรียมจะตามเสด็จองค์ชายน้อย


            “ฮึ” องค์ชายซึงรีส่ายพระพักตร์ไปมาทุกสิ่งที่องค์ชายเซฮุนทำมิใช่ว่าไม่รู้ว่ากำลังโดนพระเชษฐาขององค์เหน่งน้อยกันท่าเสียแล้ว   แต่อะไรก็ตามที่องค์ชายซึงรีอยากได้ก็ต้องได้  หากใช้วิธีละมุนละม่อมมิได้ผลคงต้องใช้กำลังเสียกระมังเพื่อให้ได้องค์ชายคยองซูไปเป็นพระชายานอกจากจะมีสิริโฉมค่อนไปทางอิสตรีที่ยิ่งมองยิ่งน่าหลงใหล   แล้วไหนจะฝีมือด้านการแพทย์ที่ถูกขนานนามว่า “หมอเทดาแห่งพูยอ” ยิ่งทำให้พระองค์มิอาจห้ามหทัยที่คิดอยากจะครอบครองพระวรกายบางลงได้เลย





            “เซฮุน...เซฮุน  เจ้าท่านพี่ใจร้าย” เสียงใสบ่นอุบอิบกว่าจะรู้ตัวอีกคราก็มีถึงชายป่าที่เดิม


            ที่เดิมที่เคยเจอบุรุษจากทงเยเสียสองครั้งคราโดยมิได้นัดหมาย


            “อยู่ร่วมกันอย่างสันติไม่ได้รึไง  ใยท่านพี่กับองชายนั่นถึงได้ใจร้ายนัก  หรือผู้ชายทั่วไปล้วนมีนิสัยโหดร้ายแบบนี้  ฮึ..จางโฮ”

            ทุ่งหญ้าเขียวขจีที่มีดอกไม้ขึ้นแซมที่มีขนาดกว้างจรดลูกหูลูกตาราวกับเป็นที่ส่วนพระองค์ขององค์ชายน้อยแห่งพูยอ

            “ช่างบ่นเสียจริง  หรือตัวเจ้ามิใช้ชายชาตรีหรอกรึ  เจ้าเด็กน้อย”

            “เจ้า!!!

            อารมตกใจเสียงทุ้มที่ดังอยู่เบื้องหลังทำให้ร่างบางตกใจจนหันกลับไปมองโดยไม่รู้ตัวเลยว่าอีกฝ่ายเข้ามาใกล้...ใกล้จนแค่คยองซูเอี้ยวตัวหันขวับไป  แก้มเนียนใส่ก็โดนจมูกโด่งได้รูปของร่างสูงเสียเต็มๆ

            กลิ่นหอมหวานราวกับแป้งเด็กของร่างบางไม่ต่างจากที่จงอินแอบจินตนาการไว้เลย  นัยน์ตาคมพราวระยับขึ้นเมื่อเห็นดวงหน้าเนียนที่ขึ้นสีแดงกร่ำ

            “เราเป็นชายแท้แน่  ถึงแม้ตัวเราไม่สูงใหญ่เฉกเช่นเจ้า”  เอ่ยยืนกรานหนักแน่นแสร้งทำนิ่งเฉยต่ออุบัติเหตุที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ราวกับมิได้เกิดขึ้นแต่มันกลับสลักลงไปในหทัยของทั้งคู่เสียแล้ว

            “อ้าว...ใครจะรู้  ก็เห็นเจ้าร้องปาว ๆ บ่นลมบ่นแร้งอย่างนั้น  นี่มันนิสัยอิสตรีชัดๆ”

            “เจ้า!!! พร้อมกับกำปั้นน้อย ๆ ที่ทุบลงแขนแกร่งที่เอี้ยวตัวหลบทันควัน

            การพบเจอกันของทั้งคู่แต่ละครั้งไม่มีคำทักทายและคำเอ่ยลา  ราวกับว่าไม่มีจุดเริ่มต้นและจุดสิ้นสิ้น

            “ยังมิกลับไปยังทงเยอีกรึ” ร่างบางเบนเรื่องสนทนาไปเสียพร้อมก้มหน้าหลบสายตาคมปลาบของร่างสูง

            “อะไรกัน  ชาวพูยอมิคิดต้อนรับอาคันตุกะจากต่างแดนแล้วรึ” เอ่ยเย้าให้อีกฝ่ายคลายความขัดเขิน

            “หากาคันตุกะจากต่างแดนมาอย่างมีไมตรีจิต  เราพูยอก็ต้อนด้วยไมตรีจิตเช่นกัน”

            “เด็กน้อย  เจ้าเคยคิดอยากเดินทางไปยังทงเยหรือไม่?” เสียงทุ้มเอ่ยคำถามเนิบ ๆ เชิงชักชวนสนทนาพร้อมกับที่ร่างสูงเอนกายนอนบนพื้นหญ้าสีเขียวขจีข้าง ๆ ร่างบางที่กึ่งนั่งกึ่งนอนอยู่ก่อนแล้ว  เหม่อมองยังท้องฟ้าสีครามที่แสนสดใส  โชคดีที่แสงแดดมิได้ส่องมาถึงทุ่งหญ้าเพราะแนวเขาสูงบังไว้

            “ไม่รู้สิ  เราไม่เคยคิดที่ไปที่นั้นสักครั้ง  เคยได้ยินแต่เสียงร่ำลือว่าเป็นเมืองที่สวยงาม  แวดล้อมด้วยแผ่นน้ำไพศาลพร้อมด้วยพื้นที่ราบลุ่มที่มีผลเกษตรมากมายนัก  ช่างต่างกับพูยอนักที่มีแต่ป่าเขา”

            “ทงเยยังอุดมด้วยแร่รัตนชาติมากมาย  โดยเฉพาะวังหลวงแห่งองค์ราชันหากเจ้ามีโอกาสไปสัมผัสด้วยตาเปล่าสักครั้งจะไม่มีวันลืมเลย”

            “งดงามถึงเพียงนั้นเชียวหรือ” เอ่ยถามขึ้นด้วยความใคร่รู้

            “ใช่ งดงามอลังการ  จนผู้มาเยือนต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าเป็นวังหลวงที่ละลานตาด้วยมณีล้ำค่า” เสียงทุ้มเอ่ยเรียบ ๆ ไม่เชิงโอ้อวดแต่บอกเล่าสู่กันฟัง

            “ฮา ๆ เวียงวังจะละลานตาหรืองดงามสักเพียงใด หากองค์ราชันผู้ครองมิได้ตั้งมั่นอยู่ในคุณธรรมการปกครองแล้วไซร้จักมีวันล้มสลายเช่นกัน”

            ใบหน้าคมหันมาตะแคงพร้อมกับมือหนายกขึ้นมาค้ำศีรษะตนเองไว้  มองใบหน้าเนียนใสที่บัดนี้ผู้เป็นเจ้าของหลับตาพริ้มอยู่โดยที่มือบางทั้งสองข้างใช้รองศีรษะเล็กไว้

         “แค่คำร่ำลือเล่าอ้างขององค์ราชันจงอิน  เจ้าก็ทรงเดียดฉันท์เชียวหรือ”

            “มิใช่หรอก  เราแค่ไม่ชื่นชมคนที่ไร้ความเมตตาปราณี”

            “เจ้าเด็กน้อย  ความเมตตาบางครั้งจะนำความยุ่งยากมาสู่ตัวเจ้าหรือบ้านเมืองได้  เพราะมันไม่อาจทำให้บ้านเมืองสงบสุขลงได้จริง ๆ เสียหรอกนะ  แต่การปกครองที่ดีเราต้องใช้ทั้งพระเดชพระคุณ  รวมถึงการแสดงแสนยานุภาพทางการทหารที่เข้มแข็งเพื่อปกป้องแว่นแคว้นของตนด้วย”

            อีกคราที่วันนี้คยองซูได้ยินวาจาที่ไม่ถูกใจตนเอง  เปลือกตาบางเปิดขึ้นก็พบสายตาคมที่จับจ้องมาที่ตนเองเสียก่อน

            “เมืองน้อยใหญ่ที่องค์ราชันท่านได้มาก็ล้วนเสียเลือดเสียเนื้อทั้งนั้น”


            “ใจอ่อนเสียจริงเจ้าเด็กน้อย  ไม่คิดมุมกลับหากเมืองเหล่านั้นมิสวามิภักดิ์ต่อองค์ราชันแห่งทงเยแล้วไซร้ก็จักต้องสวามิภักดิ์ต่ออาณาอื่นเช่นกัน  เมืองที่อ่อนใจเพราะผู้ปกครองมิอาจอยู่ได้ด้วยตนเองหากมิมีอาณาจักรใหญ่มาคุ้มครอง”


            ครานี้ร่างบางจนคำพูดที่จะต่อปากต่อคำกับร่างสูงเสียจริง ๆ เพราะนอกจากทงเยที่เข้มแข็งด้านการทหารแล้วก็ยังมีรอกแจที่มีความเข้มแข็งทางการทหารมิได้ต่างกันเลย  เพียงแต่แค่รอกแจเองไม่มีเมืองน้อยเมืองใหญ่หันมาสวามิภักดิ์และอาศัยร่มบุญขององค์ราชันมากเฉกเช่นองค์ราชันของทงเย


         แต่ยังไรเสียใช่ว่าคนตัวเล็กร่างบางจะยอมง่าย ๆ


            “ทำไมเล่า  คนที่มีเมตตาต้องถูกเรียกใจอ่อน  ต้องให้มีใจเหี้ยมโหดชอบคิดล้างผลาญชีวิตผู้อื่นหรือไรจึงจะเรียกบุรุษอาชาไนยอย่างสมศักดิ์ศรี”


            “โอ๋ ๆ เจ้าเด็กน้อย  อย่าเพิ่งโมโหโทสาไปนักเลย  เจ้าคงไม่รู้ตัวยิ่งเวลาเจ้าโมโหหน้าเจ้าจะแดงก่ำ  แก้มยุ้ยๆ ของเจ้ามันชวนน่าฟัดเสียจริงเชียว”


            “นี่..เจ้าคิดจะลามปามเราอีกแล้วเหรอ  เจ้าคนฉวยโอกาส” พร้อมกับร่างบางที่ลุกขึ้นหันไปหยิบกิ่งไม้แห้งอันเล็กๆ เอามาฟาดได้ร่างสูงที่ตอนนี้ไม่ยอมยืนนิ่งให้ร่างบางตีอยู่ฝ่ายเดียว  หากผู้อื่นมองมาคงเห็นเพื่อนพี่ชายกับน้องชายที่เล่นไล่จับกัน


            ถึงจะเป็นคนแปลกหน้าต่อกัน  แม้จะขุ่นเคืองวาจาของกันและกันอยู่บ้าง  แต่ทั้งคู่ต่างมิอาจปฏิเสธได้ว่าต่างพึงพอใจในการต่อปากต่อคำด้วยกันไม่น้อย...แปลกที่บุรุษสองนายที่ต่างเสวนากันโดยที่มิได้เป็นทั้งมิตรและศัตรู


            เกือบย่ำค่ำที่องค์ชายน้อยคยองซูจะเสด็จกลับถึงวังหลวง  พระพักตร์หวานคมฉายแววมีความสุขอย่างล้นปรี่เพราะวันนี้บุรุษแปลกหน้ากับพระองค์เองสนทนาติดพรรณ  จากทุ่งหญ้าจนมาถึงการเดินตลาดและสุดท้ายคือการฝากท้องกับมื้อเย็นที่ร้านเพิงข้างทางที่ขายอาหารพื้นบ้าน  แม้จะเป็นอาหารง่าย  แต่พระวรกายบางกลับรู้สึกว่ารสชาติมันโอชะกว่าอาหารของวังหลวงที่เรืองชื่อเสียอีก


            “ทูลกระหม่อม” คุณข้าหลวงยอนฮวาผุดลุกขึ้นทันทีที่เห็นองค์ชายน้อยเสด็จกลับมายังตำหนัก


            “นี่ก็ดึกมากแล้วใยไม่ไปพักผ่อนแล้วพี่หญิง” อดจะบอกเสียไม่ได้  แต่อย่างไรเสียไม่เคยมีสักครั้งที่ยอนฮวาจะเข้านอนก่อนที่พระองค์จะเสด็จกลับ


            “หม่อมฉันจักต้องคอยเพคะ  เพราะองค์ราชันทรงมีรับสั่งให้ทูลกระหม่อมเสด็จไปเข้าเฝ้าทันทีที่กลับมาถึงตำหนัก”


            “เกิดอะไรขึ้น” เอ่ยถามด้วยความสงสัย


            ครานี้เป็นคราวคุณข้าหลวงที่ต้องหลบสายพระเนตรที่มองมา  จะให้ทูลได้อย่างไรเพราะเรื่องนี้ใช่ว่าทูลได้ง่าย ๆ

            “...”

            คยองซูสูดพระปัสสาสะก่อนจะเอ่ยบอกด้วยน้ำเสียงนิ่ง ๆ


            “ถึงจะไม่บอกเราตอนนี้  อย่างไรเสียเราไปพบเสด็จพ่อก็ย่อมรู้อยู่แล้ว  เหตุใดเล่าพี่ยอนฮวามิเอ่ยให้เราได้รู้ก่อน  เราจักได้เตรียมตัวรับสถานการณ์ถูก” เอ่ยน้ำเสียงออดอ้อนพร้อมสวมก่อนคุณข้าหลวงที่ตนเองรักเหมือนพี่สาวแท้ ๆ


            “เรื่องที่องค์ชายซึงรีทรงอยากอภิเษกกับพระองค์เพื่อไปเป็นพระชายาแห่งรอกแจเพคะ”


            เหมือนฟ้าผ่ากลางใจขององค์ชายน้อย


            ที่บัดนี้เหมือนจะรู้พระองค์แล้ว  เหตุใดพระเชษฐาถึงได้ทรงกริ้วนักยามเมื่อองค์ชายซึงรีเสด็จมาเยือนที่เรือนยาหรือเสด็จมายังตำหนักส่วนพระองค์


            “ได้อย่างไรกัน  เราเป็นบุรุษนะมิใช่สตรี” พระเสียงหวานเครือเศร้า  


            พลางคิดหากอีกฝ่ายกล้ามาทูลขออภิเษกจากองค์ราชันยุนโฮ    ย่อมต้องรู้ถึงความลับแห่งราชนิกูลแห่งพูยอที่มิว่าบุรุษหรือสตรีก็สามารถให้กำเนิดทายาทได้!!!


            “ทูลกระหม่อม” ยอนฮวาได้แต่ลูบพระเกศาขององค์ชายน้อยปลอบประโลม 


            เพราะรู้แน่แท้อย่างไรเสียองค์ราชันยุนโฮกับองค์รานีแจจุงคงไม่อาจหักหาญน้ำใจองค์ชายน้อยที่เป็นเหมือนแก้วตาดวงใจให้อภิเษกสมรสกับผู้ที่ไม่ได้มีใจผูกสัมพันธ์เป็นแน่แท้  


            แต่ผลที่จะตามมาจะเป็นอย่างไร 


            สองอาณาจักรทั้งพูยอและรอกแจแม้จะไม่ใช้มิตรสนิทแน่นแฟ้นแต่ก็มิใช่ศัตรู  แล้วยิ่งองค์ชายซึงรีที่ทรงแสดงออกอย่างชัดเจนที่ต้องการหมายมั่นปั่นมืออยากให้มีงานอภิเษกเกิดขึ้น 


            หากไม่มีงานมงคลเกิดขึ้นระหว่างสองแผ่นดินก็มิอาจมีอะไรมารับรองว่าจากมิใช่มิตรหรือศัตรู  อาจแปรเปลี่ยนไปเป็นอย่างอื่น  เพราะนิสัยเจ้าคิดเจ้าแค้นขององค์ชายซึงรีขจรขจายไปทั่วเช่นกัน  นี่ยังไม่นับนิสัยที่ชอบเสพสังวาสกับทั้งบุรุษ สตรีและเด็ก  หากใครขัดขืนก็จะใช้กำลังทุบตี



 +++++++++++++++++tbc+++++++++++++++++++++
           



1 ความคิดเห็น:

  1. ㅠㅠㅠㅠㅠㅠㅠㅠㅠㅠㅠㅠㅠ
    ชอบเสพสังวาสกับทั้งบุรุษ สตรีและเด็ก หากขัดขืนก็จะทุบตี
    ประวัติซึงรีเป็นอย่างนี้แล้วเซฮุนจะไม่ห่วงน้องไง...
    คยองซูต้องได้เป็นถึงราชินีของอาณาจักรที่เกรียงไกรอย่างทงเยย่ะ!!
    แต่กรี๊ดมากเลยอะ...
    ที่ความลับของราชนิกูลพูยอทั้งบุรุษและสตรีให้กำเนิดทายาทได้!!!
    อยากเห็นวันที่องค์ชายน้อยได้เป็นพระมเหสีของจงอินเร็วๆจัง มีลูกด้วยกันคงน่ารัก♡
    แต่ก่อนอื่นต้องฝ่าฟันอุปสรรคอิตาซึงรีนี่ไปก่อน
    เราเห็นควรว่าองค์ชายน้อยน่าจะหนีออกจากวังนะ
    อาจไปเจอพ่อค้าม้ากิตติมศักดิ์มาช่วยก็ได้
    หลังจากนั้นก็ตามไปทงเยซะเลย *จงอินอาจได้โอกาส*
    ก็เห็นพยายามกล่อมคยองซูให้เห็นดีเห็นงามชื่นชิบทงเยตลอดเลยนี่ ๕๕๕

    ตอบลบ