[Fic EXO] Shine [Kaido,Chanbaek,
Hunhan]
By winata
Chapter 3 :ล่าสัตว์
“คยองซู
วันนี้ฟ้าฝนตกอาจพิโรธเมื่อน้องรักอยู่ติดเรือนยา”
เซฮุนรับสั่งอ่อนโยนกึ่งหยอกพระอนุชาที่ค่ำเคร่งอยู่ในเรือนยาของวังหลวง สถานที่คิดค้นยารักษาโรค ซึ่งองค์ชายคยองซูที่เหมือนจะสืบทอดความรู้ด้านแพทย์จากองค์รานีแจจุงมาจนเกือบหมดเปลือกในขณะที่ตนเองหาได้มีความรู้ด้านนี้ไม่นอกจากวิชายุทธ์และเชิงรบเท่านั้น
“หม่อมฉันกำกับอยู่เพคะ วันนี้เลยมิทรงแอบไปเที่ยวเล่นที่ใด”
ข้าหลวงยอนฮวาทูลเจือยิ้ม
“ดีแล้วละพี่หญิง ช่วงนี้มิปลอดภัยที่จะปล่อยองค์ชายน้อยของใคร ๆ
ไปไหนมาไหนเพียงลำพัง”
เอ่ยรับสั่งอย่างเป็นนัยรับรู้กันในเมื่อแขกต่างเมืองยังมิยอมกลับไปเสียง่าย ๆ
“เข้ากันเป็นปี่เป็นขลุ่ยเลยนะ
เราอยากรู้นักผู้ใดกันนะจะมาเป็นพระชายาขององค์รัชทายาทอันดับหนึ่ง
เพราะผู้นั้นย่อมน่าสงสารหากคิดจะมาดูแลองค์ชายปากจัดและเจ้าระเบียบเช่นท่านพี่”
เอ่ยขึ้นพร้อมส่งยิ้มหวานจนคนโดนยั่วโมโหได้แต่โคลงศีรษะเพราะโกรธมิลงเพราะรอยยิ้มนั้น
“ชายาของเราจักเป็นผู้ใดมิสำคัญ เท่ากับที่ตัวเจ้าหรอกองค์ชายน้อย ว่าจะเป็นไปชายาของผู้ใดคยองซูน้องรัก”
พระพักตร์ที่ผ่องเกินกว่าบุรุษธรรมดาเริ่มเง้างอ
เมื่อโดนพระเชษฐาเย้าแหย่แต่ต้องเสกริ้วกลบเกลื่อนความอุธัจไว้เพราะยามนี้ในพระทัยหวนคิดถึงใบหน้าคมพร้อมนัยน์ตาดุๆ
ของบุรุษแปลกหน้าชาวทงเยผู้นั้น!!!
“เราเป็นชายต้องมีพระชายา
มิได้จะเป็นพระชายาของผู้ใด”
“แต่พี่มองเยี่ยงไร
ไม่แคล้วเจ้าจะต้องเป็นพระชายาขององค์ชายสักพระองค์หรืออาจเป็นถึงองค์รานีก็จักเป็นได้”
เซฮุนมิอาจรู้เลยว่าถ้อยคำที่เอ่ยเย้าแหย่พระอนุชาเล่น ๆ
จะเป็นจริงในอนาคตข้างหน้า
“เซฮุน โอ้ย!!!” คราวนี้องค์ชายน้อยทรงกริ้วจริง ๆ
เพราะน้ำร้อนจากหม้อเคี่ยวยากระเซ็นขึ้นมาโดนพระหัตถ์บาง
“ว้าย..ทูลกระหม่อม”
คุณข้าหลวงประจำพระวรกายแทบเต้นเมื่อเห็นรอยแดงเป็นปื้นขึ้น พร้อมร้องเรียกนางกำนัลหายาเสียให้วุ่น
“จะเอ็ดตะโรทำไมกันพี่หญิงยอนฮวา ลืมหรือไรว่าเองก็เป็นหมอ
แผลแค่นี้มิสามารถทำไรเราได้หรอกทายาเพียงนิดหน่อยก็หายแล้ว
มิใช่แผลที่เราเสียเลือดท่วมตัวเสียก่อนเถอะค่อยร้องเรียกคนมาช่วย”
“ทูลกระหม่อม
ทรงอย่าเอ่ยอะไรเป็นรางเช่นนี้อีกนะเพคะโบราณเค้าถือ”
คุณข้าหลวงยอนฮวาเอ่ยท้วงเบาๆ
“อะไรกันพี่หญิง
องค์ชายน้อยของพี่ก็พูดจาโผงเผงเช่นนี้มาตั้งแต่ไหนแต่ไร ยังมิชินอีกรึ”
องค์ชายเซฮุนรับสั่งกลั้วแย้มสรวล
“อย่างไรก็มิชินเพคะ”
ทูลตอบด้วยน้ำเสียงงอน ๆ ที่องค์ชายทั้งสองต่างลอบสรวล
“จริงสิ วันนี้ท่านพี่คงมีได้มาเยี่ยมเยือนเราถึงเรือนยาเพียงแค่คิดถึงน้องกระมัง”
“จะมาชวนไปล่าสัตว์”
พระขนงได้รูปงามขององค์ชายน้อยคยองซูเลิกขึ้นอย่างแปลกพระทัยเมื่อเห็นกิริยาค่อนข้างฉุนเฉียวราวกับไม่พอใจในการมาเอ่ยชวนไปล่าสัตว์
ทั้งที่เซฮุนต่างรู้ดีว่ามิทรงโปรดปรานการล่าสัตว์ใด ๆ
“ก็ทรง...”
ยังทูลไม่จบก็ถูกเสียงเข้มขัดขึ้น
“เสด็จพ่ออยากให้เราทั้งคู่ไปล่าสัตว์เป็นเพื่อนองค์ชายซึงรี”
สีพระพักตร์กังวลใจของพระเชษฐาเริ่มทำให้คยองซูเริ่มรู้สึกถึงความไม่ชอบมาพากล
เพราะองค์ชายต่างแดนผู้นี้มาเยือนพูยอบ่อยเสียความจำเป็นในรอบหลายเดือน
“งั้นเราคงต้องต้องไปสินะ”
“แต่เรามิอยากให้เจ้าไปนะ”
เสียงทุ้มเอ่ยขึ้นก่อนที่พระวรกายสูงขององค์ชายเซฮุนพร้อมเหล่าราชองค์รักษ์จะเสด็จกลับยังตำหนักรัชทายาทอันดับหนึ่งแห่งพูยอ
“พี่หญิงยอนฮวา”
“เพคะทูลกระหม่อม”
แววตาของคุณข้าหลวงคนสนิทที่ฉายแววเสียจนปิดไม่มิด
แล้วไหนจะปฏิกิริยาจากพระเชษฐาที่แสดงออกจากโจ่งแจ้งก็ทำให้ทรงคาดคะเนเรื่องราว
ๆ ได้
สองวันถัดมาที่เป็นวันไปล่าสัตว์
องค์ชายน้อยแห่งพูยอทรงฉลองพระองค์ทะมัดทะแมงเยี่ยงบุรุษธรรมดาสามัญชนโดยทั่วไปก่อนจะตามไปสมทบกับขบวนของพระเชษฐาและอาคันตุกะต่างแดน ก่อนที่จะออกจากตำหนักหลวง
“ไหนเซฮุนบอกเราว่า
องค์ชายน้อยมีคนไข้หนักจักต้องไปรักษามิอาจร่วมขบวนไปได้”
องค์ชายซึงรีชักบังเหียนอาญาสีน้ำตาลเข้มเข้ามาใกล้พระวรกายบอบบาง พลางแย้มสรวลส่งไมตรีให้
“ฮะ..แฮ่ม
รีบออกเดินทางกันเถอะก่อนที่แดดจะแรงกว่านี้ คยองซูน้องอย่าทำตัวให้เป็นภาระแก่ผู้ใดนะ”
รับสั่งเชิงเข้มงวดในขณะสายพระเนตรตวัดมองแขกต่างแดนแบบไม่เป็นมิตร
“เราสัญญาท่านพี่เซฮุน”
เอ่ยรับสั่งหนักแน่นก่อนจะทรงม้าออกเดินทาง
คณะล่าสัตว์ประกอบด้วยพี่น้องสองพระองค์แห่งพูยอและอาคันตุกะต่างแดนจากรอกเจ
พร้อมด้วยเหล่าองค์รักษ์ที่มากล้นด้วยฝีมืออีกสิบนาย
ผืนป่าแห่งพูยออุดมด้วยฝูงสัตว์นานาชนิด ซึ่งคณะล่าสัตว์มุ่งมั่นที่จะล่ากวางและเสือดาวที่มีอยู่ชุกชุมโดยมีองค์ชายซึงรีดำริขึ้น
คงมีแต่องค์ชายน้อยเพียงผู้เดียวที่ได้แต่สวดมนต์อ้อนวอนต่อสิ่งศักดิ์ อย่าให้ได้มีสัตว์ใหญ่ใด ๆ
หลงเข้ามาใกล้ในขบวนล่าสัตว์ครั้งนี้แต่อย่างไรเสียก็คงมิเป็นผล เมื่อพระเนตรกลมโตมองเห็นองค์ซึงรีกำลังง้างเกาทัณฑ์จะปล่อยลูกศรไปยังกวางหนุ่มตัวโตที่มีเขาอันสวยงาม
ด้วยเพราะรู้หากศรขององค์ชายซึงรีพลาดจักต้องมีศรของเหล่าองค์รักษ์ถูกปล่อยออกไปเป็นแน่แท้
เสี้ยววินาทีเดียวพระหัตถ์บางก็รั้งสายบังเหียนของเจ้าจางโฮอย่างแรง เป็นผลให้อาชาหนุ่มสีขาวปลอดหวีดร้องเสียงแหลมขึ้นมาขัดจังหวะส่งผลให้กวางหนุ่มกระโจนหนีหายไปรวมถึงเป็นเหตุให้สัตว์ป่าแถวนั้นหนีลี้หายไปทันที!!!
“องค์ชายน้อย”
องค์ชายซึงรีเอ่ยขึ้นด้วยความกริ้วกรุ่น
เพราะรู้ว่าอีกฝ่ายเจตนาจะช่วยสัตว์ป่าตัวนั้น จ้องพระพักตร์นวลที่ทรงติดหทัยตั้งแต่คราแรกที่เสด็จตามพระบิดามาเยี่ยมองค์ราชันยุนโฮ
“จู่ ๆ
จางโฮก็ร้องขึ้นมา” องค์ชายน้อยวางพระพักตร์ใสซื่อประหนึ่งไม่รู้เรื่องราวใด ๆ
อาชาที่ถูกฝึกมาอย่างดีจะแตกวินัยได้อย่างไรหากมิใช่ผู้เป็นเจ้าของเจตนาทำให้อาชาของตนหวีดร้องขึ้นมาเสียเอง
“ทรงเจตนาจะช่วยกวางตัวนั้นใช่หรือไม่”
“...”
เซฮุนที่ทรงชักม้าเข้ามาใกล้ทั้งสองพระองค์ที่ยังมองสบพระเนตรกันอยู่ แล้วยิ่งกิริยาเงียบไม่มีคำตอบใด ๆ
จากคยองซู นั่นคือการดื้อเงียบที่ทั้งตัวพระองค์เองและคุณข้าหลวงยอนฮวาเจอประจำ
“ชาวพูยอกล้าทำต้องกล้ารับ”
พระเนตรกลมเสหลบพระเนตรคมของพระเชษฐาที่ทอดเสียงเนิบหนัก
“เราสงสารมัน”
“พวกเรามาล่าสัตว์มิได้มาโปรดสัตว์”
องค์ชายซึงรีเอ่ย
“ความใจอ่อนของเจ้า วันหน้าอาจพาเสียการณ์ใหญ่ได้นะคยองซู”
เรียวโอษฐ์อิ่มเม้มสนิทเพราะนอกจากพระเชษฐาจะมิทรงเข้าข้างแล้วยังเอ่ยวาจาเฉือดเฉือน
“หากพวกท่านคิดแต่จะใช้กำลังในการปกครองบ้านเมือง มิช้ามินานจักมีประชาชนตาดำ ๆ
ลุกขึ้นสู้อย่างแน่นอน
ล่าสัตว์ป่าก็เช่นกันเหตุใดไม่คิดถึงใจเค้าใจเราเล่า พวกเรามิเดือดร้อนจนต้องออกมาล่ามัน”
“อย่าเฉไฉ เราว่าการล่าสัตว์คงมิเหมาะกับเจ้าเสียจริงๆ
คยองซู กลับวังหลวงเสียเถอะเพราะมือของเจ้าเหมาะแก่การรักษาผู้ป่วยเสียมากกว่าการจับอาวุธ”
เอ่ยตัดบทก่อนจะเอ่ยรับสั่งองค์รักษ์ให้พาองค์ชายน้อยเสด็จกลับยังวังหลวง
“เราจะกลับเอง
มิต้องให้ใครมาลำบากเพราะเราดอกเชิญเกษมสำราญเสียให้พอพระทัย”
“ไม่ต้องตาม คืนนี้เราจะพักอยู่ตรงริมธารของป่าข้างหน้าพวกเจ้าไปกางเต้นท์ได้”
รีบรับสั่งเอ่ยห้ามก่อนที่องค์รักษ์เตรียมจะตามเสด็จองค์ชายน้อย
“ฮึ” องค์ชายซึงรีส่ายพระพักตร์ไปมาทุกสิ่งที่องค์ชายเซฮุนทำมิใช่ว่าไม่รู้ว่ากำลังโดนพระเชษฐาขององค์เหน่งน้อยกันท่าเสียแล้ว แต่อะไรก็ตามที่องค์ชายซึงรีอยากได้ก็ต้องได้
หากใช้วิธีละมุนละม่อมมิได้ผลคงต้องใช้กำลังเสียกระมังเพื่อให้ได้องค์ชายคยองซูไปเป็นพระชายานอกจากจะมีสิริโฉมค่อนไปทางอิสตรีที่ยิ่งมองยิ่งน่าหลงใหล แล้วไหนจะฝีมือด้านการแพทย์ที่ถูกขนานนามว่า
“หมอเทดาแห่งพูยอ” ยิ่งทำให้พระองค์มิอาจห้ามหทัยที่คิดอยากจะครอบครองพระวรกายบางลงได้เลย
“เซฮุน...เซฮุน
เจ้าท่านพี่ใจร้าย”
เสียงใสบ่นอุบอิบกว่าจะรู้ตัวอีกคราก็มีถึงชายป่าที่เดิม
ที่เดิมที่เคยเจอบุรุษจากทงเยเสียสองครั้งคราโดยมิได้นัดหมาย
“อยู่ร่วมกันอย่างสันติไม่ได้รึไง ใยท่านพี่กับองชายนั่นถึงได้ใจร้ายนัก หรือผู้ชายทั่วไปล้วนมีนิสัยโหดร้ายแบบนี้ ฮึ..จางโฮ”
ทุ่งหญ้าเขียวขจีที่มีดอกไม้ขึ้นแซมที่มีขนาดกว้างจรดลูกหูลูกตาราวกับเป็นที่ส่วนพระองค์ขององค์ชายน้อยแห่งพูยอ
“ช่างบ่นเสียจริง หรือตัวเจ้ามิใช้ชายชาตรีหรอกรึ เจ้าเด็กน้อย”
“เจ้า!!!”
อารมตกใจเสียงทุ้มที่ดังอยู่เบื้องหลังทำให้ร่างบางตกใจจนหันกลับไปมองโดยไม่รู้ตัวเลยว่าอีกฝ่ายเข้ามาใกล้...ใกล้จนแค่คยองซูเอี้ยวตัวหันขวับไป
แก้มเนียนใส่ก็โดนจมูกโด่งได้รูปของร่างสูงเสียเต็มๆ
กลิ่นหอมหวานราวกับแป้งเด็กของร่างบางไม่ต่างจากที่จงอินแอบจินตนาการไว้เลย
นัยน์ตาคมพราวระยับขึ้นเมื่อเห็นดวงหน้าเนียนที่ขึ้นสีแดงกร่ำ
“เราเป็นชายแท้แน่ ถึงแม้ตัวเราไม่สูงใหญ่เฉกเช่นเจ้า”
เอ่ยยืนกรานหนักแน่นแสร้งทำนิ่งเฉยต่ออุบัติเหตุที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ราวกับมิได้เกิดขึ้นแต่มันกลับสลักลงไปในหทัยของทั้งคู่เสียแล้ว
“อ้าว...ใครจะรู้ ก็เห็นเจ้าร้องปาว ๆ
บ่นลมบ่นแร้งอย่างนั้น
นี่มันนิสัยอิสตรีชัดๆ”
“เจ้า!!!” พร้อมกับกำปั้นน้อย
ๆ ที่ทุบลงแขนแกร่งที่เอี้ยวตัวหลบทันควัน
การพบเจอกันของทั้งคู่แต่ละครั้งไม่มีคำทักทายและคำเอ่ยลา ราวกับว่าไม่มีจุดเริ่มต้นและจุดสิ้นสิ้น
“ยังมิกลับไปยังทงเยอีกรึ”
ร่างบางเบนเรื่องสนทนาไปเสียพร้อมก้มหน้าหลบสายตาคมปลาบของร่างสูง
“อะไรกัน ชาวพูยอมิคิดต้อนรับอาคันตุกะจากต่างแดนแล้วรึ”
เอ่ยเย้าให้อีกฝ่ายคลายความขัดเขิน
“หากาคันตุกะจากต่างแดนมาอย่างมีไมตรีจิต เราพูยอก็ต้อนด้วยไมตรีจิตเช่นกัน”
“เด็กน้อย เจ้าเคยคิดอยากเดินทางไปยังทงเยหรือไม่?”
เสียงทุ้มเอ่ยคำถามเนิบ ๆ
เชิงชักชวนสนทนาพร้อมกับที่ร่างสูงเอนกายนอนบนพื้นหญ้าสีเขียวขจีข้าง ๆ
ร่างบางที่กึ่งนั่งกึ่งนอนอยู่ก่อนแล้ว
เหม่อมองยังท้องฟ้าสีครามที่แสนสดใส
โชคดีที่แสงแดดมิได้ส่องมาถึงทุ่งหญ้าเพราะแนวเขาสูงบังไว้
“ไม่รู้สิ เราไม่เคยคิดที่ไปที่นั้นสักครั้ง
เคยได้ยินแต่เสียงร่ำลือว่าเป็นเมืองที่สวยงาม
แวดล้อมด้วยแผ่นน้ำไพศาลพร้อมด้วยพื้นที่ราบลุ่มที่มีผลเกษตรมากมายนัก ช่างต่างกับพูยอนักที่มีแต่ป่าเขา”
“ทงเยยังอุดมด้วยแร่รัตนชาติมากมาย โดยเฉพาะวังหลวงแห่งองค์ราชันหากเจ้ามีโอกาสไปสัมผัสด้วยตาเปล่าสักครั้งจะไม่มีวันลืมเลย”
“งดงามถึงเพียงนั้นเชียวหรือ”
เอ่ยถามขึ้นด้วยความใคร่รู้
“ใช่
งดงามอลังการ จนผู้มาเยือนต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าเป็นวังหลวงที่ละลานตาด้วยมณีล้ำค่า”
เสียงทุ้มเอ่ยเรียบ ๆ ไม่เชิงโอ้อวดแต่บอกเล่าสู่กันฟัง
“ฮา ๆ
เวียงวังจะละลานตาหรืองดงามสักเพียงใด
หากองค์ราชันผู้ครองมิได้ตั้งมั่นอยู่ในคุณธรรมการปกครองแล้วไซร้จักมีวันล้มสลายเช่นกัน”
ใบหน้าคมหันมาตะแคงพร้อมกับมือหนายกขึ้นมาค้ำศีรษะตนเองไว้ มองใบหน้าเนียนใสที่บัดนี้ผู้เป็นเจ้าของหลับตาพริ้มอยู่โดยที่มือบางทั้งสองข้างใช้รองศีรษะเล็กไว้
“แค่คำร่ำลือเล่าอ้างขององค์ราชันจงอิน เจ้าก็ทรงเดียดฉันท์เชียวหรือ”
“มิใช่หรอก เราแค่ไม่ชื่นชมคนที่ไร้ความเมตตาปราณี”
“เจ้าเด็กน้อย
ความเมตตาบางครั้งจะนำความยุ่งยากมาสู่ตัวเจ้าหรือบ้านเมืองได้ เพราะมันไม่อาจทำให้บ้านเมืองสงบสุขลงได้จริง ๆ
เสียหรอกนะ
แต่การปกครองที่ดีเราต้องใช้ทั้งพระเดชพระคุณ รวมถึงการแสดงแสนยานุภาพทางการทหารที่เข้มแข็งเพื่อปกป้องแว่นแคว้นของตนด้วย”
อีกคราที่วันนี้คยองซูได้ยินวาจาที่ไม่ถูกใจตนเอง เปลือกตาบางเปิดขึ้นก็พบสายตาคมที่จับจ้องมาที่ตนเองเสียก่อน
“เมืองน้อยใหญ่ที่องค์ราชันท่านได้มาก็ล้วนเสียเลือดเสียเนื้อทั้งนั้น”
“ใจอ่อนเสียจริงเจ้าเด็กน้อย
ไม่คิดมุมกลับหากเมืองเหล่านั้นมิสวามิภักดิ์ต่อองค์ราชันแห่งทงเยแล้วไซร้ก็จักต้องสวามิภักดิ์ต่ออาณาอื่นเช่นกัน เมืองที่อ่อนใจเพราะผู้ปกครองมิอาจอยู่ได้ด้วยตนเองหากมิมีอาณาจักรใหญ่มาคุ้มครอง”
ครานี้ร่างบางจนคำพูดที่จะต่อปากต่อคำกับร่างสูงเสียจริง
ๆ
เพราะนอกจากทงเยที่เข้มแข็งด้านการทหารแล้วก็ยังมีรอกแจที่มีความเข้มแข็งทางการทหารมิได้ต่างกันเลย เพียงแต่แค่รอกแจเองไม่มีเมืองน้อยเมืองใหญ่หันมาสวามิภักดิ์และอาศัยร่มบุญขององค์ราชันมากเฉกเช่นองค์ราชันของทงเย
แต่ยังไรเสียใช่ว่าคนตัวเล็กร่างบางจะยอมง่าย ๆ
“ทำไมเล่า คนที่มีเมตตาต้องถูกเรียกใจอ่อน
ต้องให้มีใจเหี้ยมโหดชอบคิดล้างผลาญชีวิตผู้อื่นหรือไรจึงจะเรียกบุรุษอาชาไนยอย่างสมศักดิ์ศรี”
“โอ๋ ๆ
เจ้าเด็กน้อย
อย่าเพิ่งโมโหโทสาไปนักเลย
เจ้าคงไม่รู้ตัวยิ่งเวลาเจ้าโมโหหน้าเจ้าจะแดงก่ำ แก้มยุ้ยๆ ของเจ้ามันชวนน่าฟัดเสียจริงเชียว”
“นี่..เจ้าคิดจะลามปามเราอีกแล้วเหรอ เจ้าคนฉวยโอกาส”
พร้อมกับร่างบางที่ลุกขึ้นหันไปหยิบกิ่งไม้แห้งอันเล็กๆ
เอามาฟาดได้ร่างสูงที่ตอนนี้ไม่ยอมยืนนิ่งให้ร่างบางตีอยู่ฝ่ายเดียว
หากผู้อื่นมองมาคงเห็นเพื่อนพี่ชายกับน้องชายที่เล่นไล่จับกัน
ถึงจะเป็นคนแปลกหน้าต่อกัน แม้จะขุ่นเคืองวาจาของกันและกันอยู่บ้าง แต่ทั้งคู่ต่างมิอาจปฏิเสธได้ว่าต่างพึงพอใจในการต่อปากต่อคำด้วยกันไม่น้อย...แปลกที่บุรุษสองนายที่ต่างเสวนากันโดยที่มิได้เป็นทั้งมิตรและศัตรู
เกือบย่ำค่ำที่องค์ชายน้อยคยองซูจะเสด็จกลับถึงวังหลวง พระพักตร์หวานคมฉายแววมีความสุขอย่างล้นปรี่เพราะวันนี้บุรุษแปลกหน้ากับพระองค์เองสนทนาติดพรรณ
จากทุ่งหญ้าจนมาถึงการเดินตลาดและสุดท้ายคือการฝากท้องกับมื้อเย็นที่ร้านเพิงข้างทางที่ขายอาหารพื้นบ้าน แม้จะเป็นอาหารง่าย
แต่พระวรกายบางกลับรู้สึกว่ารสชาติมันโอชะกว่าอาหารของวังหลวงที่เรืองชื่อเสียอีก
“ทูลกระหม่อม”
คุณข้าหลวงยอนฮวาผุดลุกขึ้นทันทีที่เห็นองค์ชายน้อยเสด็จกลับมายังตำหนัก
“นี่ก็ดึกมากแล้วใยไม่ไปพักผ่อนแล้วพี่หญิง”
อดจะบอกเสียไม่ได้
แต่อย่างไรเสียไม่เคยมีสักครั้งที่ยอนฮวาจะเข้านอนก่อนที่พระองค์จะเสด็จกลับ
“หม่อมฉันจักต้องคอยเพคะ เพราะองค์ราชันทรงมีรับสั่งให้ทูลกระหม่อมเสด็จไปเข้าเฝ้าทันทีที่กลับมาถึงตำหนัก”
“เกิดอะไรขึ้น”
เอ่ยถามด้วยความสงสัย
ครานี้เป็นคราวคุณข้าหลวงที่ต้องหลบสายพระเนตรที่มองมา
จะให้ทูลได้อย่างไรเพราะเรื่องนี้ใช่ว่าทูลได้ง่าย ๆ
“...”
คยองซูสูดพระปัสสาสะก่อนจะเอ่ยบอกด้วยน้ำเสียงนิ่ง
ๆ
“ถึงจะไม่บอกเราตอนนี้
อย่างไรเสียเราไปพบเสด็จพ่อก็ย่อมรู้อยู่แล้ว
เหตุใดเล่าพี่ยอนฮวามิเอ่ยให้เราได้รู้ก่อน เราจักได้เตรียมตัวรับสถานการณ์ถูก”
เอ่ยน้ำเสียงออดอ้อนพร้อมสวมก่อนคุณข้าหลวงที่ตนเองรักเหมือนพี่สาวแท้ ๆ
“เรื่องที่องค์ชายซึงรีทรงอยากอภิเษกกับพระองค์เพื่อไปเป็นพระชายาแห่งรอกแจเพคะ”
เหมือนฟ้าผ่ากลางใจขององค์ชายน้อย
ที่บัดนี้เหมือนจะรู้พระองค์แล้ว
เหตุใดพระเชษฐาถึงได้ทรงกริ้วนักยามเมื่อองค์ชายซึงรีเสด็จมาเยือนที่เรือนยาหรือเสด็จมายังตำหนักส่วนพระองค์
“ได้อย่างไรกัน เราเป็นบุรุษนะมิใช่สตรี” พระเสียงหวานเครือเศร้า
พลางคิดหากอีกฝ่ายกล้ามาทูลขออภิเษกจากองค์ราชันยุนโฮ ย่อมต้องรู้ถึงความลับแห่งราชนิกูลแห่งพูยอที่มิว่าบุรุษหรือสตรีก็สามารถให้กำเนิดทายาทได้!!!
“ทูลกระหม่อม”
ยอนฮวาได้แต่ลูบพระเกศาขององค์ชายน้อยปลอบประโลม
เพราะรู้แน่แท้อย่างไรเสียองค์ราชันยุนโฮกับองค์รานีแจจุงคงไม่อาจหักหาญน้ำใจองค์ชายน้อยที่เป็นเหมือนแก้วตาดวงใจให้อภิเษกสมรสกับผู้ที่ไม่ได้มีใจผูกสัมพันธ์เป็นแน่แท้
แต่ผลที่จะตามมาจะเป็นอย่างไร
สองอาณาจักรทั้งพูยอและรอกแจแม้จะไม่ใช้มิตรสนิทแน่นแฟ้นแต่ก็มิใช่ศัตรู
แล้วยิ่งองค์ชายซึงรีที่ทรงแสดงออกอย่างชัดเจนที่ต้องการหมายมั่นปั่นมืออยากให้มีงานอภิเษกเกิดขึ้น
หากไม่มีงานมงคลเกิดขึ้นระหว่างสองแผ่นดินก็มิอาจมีอะไรมารับรองว่าจากมิใช่มิตรหรือศัตรู อาจแปรเปลี่ยนไปเป็นอย่างอื่น เพราะนิสัยเจ้าคิดเจ้าแค้นขององค์ชายซึงรีขจรขจายไปทั่วเช่นกัน นี่ยังไม่นับนิสัยที่ชอบเสพสังวาสกับทั้งบุรุษ
สตรีและเด็ก หากใครขัดขืนก็จะใช้กำลังทุบตี
+++++++++++++++++tbc+++++++++++++++++++++
ㅠㅠㅠㅠㅠㅠㅠㅠㅠㅠㅠㅠㅠ
ตอบลบชอบเสพสังวาสกับทั้งบุรุษ สตรีและเด็ก หากขัดขืนก็จะทุบตี
ประวัติซึงรีเป็นอย่างนี้แล้วเซฮุนจะไม่ห่วงน้องไง...
คยองซูต้องได้เป็นถึงราชินีของอาณาจักรที่เกรียงไกรอย่างทงเยย่ะ!!
แต่กรี๊ดมากเลยอะ...
ที่ความลับของราชนิกูลพูยอทั้งบุรุษและสตรีให้กำเนิดทายาทได้!!!
อยากเห็นวันที่องค์ชายน้อยได้เป็นพระมเหสีของจงอินเร็วๆจัง มีลูกด้วยกันคงน่ารัก♡
แต่ก่อนอื่นต้องฝ่าฟันอุปสรรคอิตาซึงรีนี่ไปก่อน
เราเห็นควรว่าองค์ชายน้อยน่าจะหนีออกจากวังนะ
อาจไปเจอพ่อค้าม้ากิตติมศักดิ์มาช่วยก็ได้
หลังจากนั้นก็ตามไปทงเยซะเลย *จงอินอาจได้โอกาส*
ก็เห็นพยายามกล่อมคยองซูให้เห็นดีเห็นงามชื่นชิบทงเยตลอดเลยนี่ ๕๕๕