[Fic EXO] Shine [Kaido,Chanbaek, Hunhan]
By winata
Chapter
2 :ก้อนหิน
ร่างสูงที่วันนี้หยอกเอิน “เด็กน้อย”
พอหอมปากหอมคอก็จำใจปล่อยแม้จะเสียดายกลิ่นหอมหวานที่ยังกรุ่นติดจมูกอยู่ อีกคนก็พอกันเมื่อหลุดเป็นอีกอิสระจากอ้อมกอดแกร่งก็แทบจะกระเด้งตัวออกห่างไปไกลเสียเกือบโยชน์ จนอดเอ่ยเย้าเสียมิได้
“อะไรกันชาวพูยอ
นี่เกรงกลัวเรามากเสียจนต้องลี้ถอยห่างเสียป่านนี้เชียวหรือ เจ้าเด็กน้อย”
“ชาวพูยออย่างเราหาเกรงกลัวไม่
เพียงแค่เรามิอยากจะปากต่อคำกับคนพาล” ร่างบางที่ถูกเรียกว่าเด็กน้อยเอ่ยบอกเสียงเข้มพร้อมกับถลึงตาใส่
“นี่เจ้าเห็นเราเป็นคนพาลหรอกรึฮึ”
อากัปกิริยาลอยหน้าลอยตาไม่ตอบคำถามของร่างบอบบางก็เป็นนัยยอมรับในคำถามนั้น
“หากเราเป็นคนพาลอย่างเจ้าคิด
เจ้าเด็กน้อยเอ้ย...เราจะจักจับเจ้ากับม้าของเจ้าไปขายเป็นทาสเลว แต่เราดูท่าแล้วรูปร่างผอมแห้งแรงน้อยเฉกเช่นเจ้า คงไม่แคล้วเป็นได้แค่คนโกยหญ้าให้ม้ากิน”
ตั้งแต่เกิดมายังไม่เคยมีผู้ใดที่ดูถูกร่างบางมากขนาดนี้
แล้วพลันสายตากลมแลเห็นหินก้อนขนาดพอเหมาะมือก็ก้มลงหยิบแล้วขว้างใส่ร่างสูงกะให้โดนจัง
ๆ
“โอ้ย
เจ้า...” จงอินรู้สึกเสียวแปลบที่แขนแกร่งขึ้นมาทันทีแม้ว่าจะเบี่ยงตัวหลบทันแต่มิวายยังโดน
“อะไรกัน...กะอีแค่ก้อนหินถึงกับทำให้ชาวทงเย...เอ๊ะ...เลือด”
คราแรกคยองซูกะจะเอ่ยแดกดันร่างสูงที่ชอบว่าตนเองนัก แต่ตอนนี้จากยืนอยู่ห่างเสียเกือบโยชน์
คนตัวเล็กกว่ากับสาวเท้าเร็ว ๆ มาประชิดตัวร่างสูงกว่า
พร้อมกับดึงข้อมือใหญ่ให้เดินตามตนเองมานั่งยังใต้ร่มไม้และเอ่ยเองเสียเสร็จสรรพ
“นั่งรอเราอยู่ที่นี้ แล้วเจ้าอย่าขยับแขนข้างที่เจ็บเป็นอันขาด”
อากัปกิริยาของร่างบางเสียงรอยยิ้มได้จากใบหน้าคม เพราะเมื่อครู่เจ้าเด็กน้อยยังมีท่าทีเดือดดาลดูน่าขันจริงเทียว มือบางที่กำหมัดแน่น
ดวงตากลมที่ฉายความเกรี้ยวกราดราวกับแมวป่าที่พร้อมจะกระโจนเข้าหาเหยื่อ แต่พอเห็นเขาบาดเจ็บเท่านั้นทุกอย่างก็พลันเปลี่ยนไป
ร่างบางรีบเดินไปหยิบห่อผ้าประจำตัวที่มีติดไว้กับจางโฮเสมอยามที่ออกมานอกวังทุกครั้ง ก่อนจะรีบเดินกลับมาหาร่างสูงที่ดูท่าจะเชื่อฟังจริง
ๆ เพราะยังนั่งนิ่งอยู่ท่าเดิม
แต่นัยน์ตาคมที่แพรวระยับมันทำให้ไม่อาจมองสบตาคมเสียตรง ๆ ได้ จนต้องแอบบ่นอุบอิบเบา ๆ
“มองแบบนี้
มันน่าเอาลูกศรจิ้มตาเสียจริง”
จงอินมองมือบางที่รั้งชายแขนเสื้อตัวนอกสีน้ำตาลเข้มของตนขึ้นมาดูบาดแผล ก่อนที่อีกฝ่ายจะจิปากอย่างไม่สบอารมณ์
“แผลยาวขนาดนี้คงมิใช่โดนก้อนหินที่เราขว้างใส่แน่”
เอ่ยขึ้นมาก่อนพร้อมตวัดดวงตากลมโตขึ้นมามองสบกับสายตาคม ๆ ที่จับจ้องมาอยู่ก่อน
“ต้องถอดเสื้อออกก่อน แผลยาวตั้งแต่หัวไหล่จนถึงข้อศอก เดี๋ยวเราจะทำแผลให้
แล้วอย่าหาว่าเราโม้เลยในสี่อาณาจักรหาได้มีอาณาจักรได้จะมีสมุนไพรรักษาแผลสดได้ดีเลิศเทียบเท่าพูยอ”
ได้แต่นั่งฟังเงียบ ๆ
พลางเอี้ยวตัวถอดเสื้อออก
ดูท่าเจ้าตัวจะเป็นคนร่าเริงแจ่มใสและเป็นมิตรกับคนอื่นไปทั่วถึงได้เจื้อยแจ่วขนาดนี้ทั้งที่เมื่อครู่ยังเหมือนโกรธกันเป็นฟืนเป็นไฟอยู่เลย
“โชคดีนะ
แผลเจ้าไม่ลึกมาก
เราใช้น้ำเกลือเช็ดทำความสะอาดแผล
ส่วนยานี้ที่เรากำลังพอกให้เจ้าเป็นยาสูตรพิเศษที่เราคิดค้นขึ้นเองเลยนะมันจะช่วยสมานแผลสดให้หายภายในสามวัน”
“...”
คยองซูที่เพิ่งสังเกตว่าตอนนี้มีแค่ตนเป็นฝ่ายพูดอยู่เพียงลำพัง ในขณะที่ร่างสูงเอาแต่มองมานิ่ง ๆ
“เจ้าเป็นหมอหรอกรึเจ้าเด็กน้อย หรือเพียงแค่เพิ่งริจะเริ่มเรียน” เสียงทุ้มนุ่มหูที่เอ่ยมาด้วยไม่มีวี่แววความยั่วเย้ากวนประสาทมันทำให้แก้มนวลขึ้นสีระเรื่อเพราะบุรุษนี้อีกครั้งแล้วยิ่งนัยน์ตาสีรัตติกาลที่มองมานิ่ง
ๆ มันชวนให้น่าค้นหาว่าภายในหทัยของผู้เป็นเจ้าของยามนี้คิดอะไรอยู่
“ใช่แล้วเราเป็นหมอ
แล้วเจ้าตอนนี้ต้องสำนึกบุญคุณเราเสียให้มากกับการรักษาในครั้งนี้”
“เราขอร้องเจ้ารึ..เจ้าเด็กน้อย?”
“เจ้า!!!” ก่อนมือบางจะมัดปมผ้าผันแผลเสียแรง ๆ
“โอ้ย...นี่เจ้าแกล้งเรารึ”
เมื่อเห็นใบหน้าเนียนใสงอแล้วยิ่งริมฝีปากบางที่เชิดจนจะชนกับปลายจมูกรั้น ๆ
มันทำให้ร่างสูงอดจะยิ้มเสียไม่ได้
“นอกจากจะเด็กแล้วยังจะขี้งอนเสียด้วยนะเจ้า”
คยองซูเก็บข้าวของใส่ห่อผ้าเรียบร้อยพร้อมกับลุกขึ้นและหยิบเกาทัณฑ์ขึ้นคล้องบ่าบางของตน
“เจ้าเพิ่งมาชั่วครู่เดียว จะกลับแล้วรึ”
จงอินรีบดึงชายเสื้อของร่างบางไว้
“นี่...เราเพิ่งทำแผลให้เจ้านะ แขนข้างนี้อย่าเพิ่งใช้งานเดี๋ยวมันจะยิ่งระบมหนักกว่าเดิม”
หันมาแวดเสียงใส่คนดึงชายเสื้อที่ยังนั่งพิงต้นไม้
“แผลแค่นี้
ปกติเราเลียเดี๋ยวก็หาย”
“ปากเจ้านี่นะ
อึ้ยยยยยย
คราวหน้าถ้าเราเจอเจ้ามีแผลมานะ
ต่อให้ทองหนักเท่าตัวเราก็ไม่รักษาแต่จะให้เจ้าใช้น้ำลายตัวเองรักษาแทน”
ร่างสูงพยายามกั้นเสียงหัวเราะเมื่อเห็นใบหน้าเนียนใสกระเง้ากระงอดตน
“เอาน้า
อย่างไรเสียเราก็ต้องขอบใจเจ้าอยู่ดีที่อุตส่าห์มีน้ำใจช่วยทำแผลให้เรา ไหน ๆ
พวกเราก็มีวาสนาต่อกันหากเจ้าไม่เร่งร้อนรีบกลับอยู่สนทนากับเราสักครู่เถอะเจ้าเด็กน้อย
ๆ”
“บอกตั้งหลายครั้งแล้วว่าเรามิใช่เด็กน้อย เจ้าก็เรียกเราเด็กน้อย..เด็กน้อยอยู่ได้” จากที่คิดจะกลับกับกลายเป็นว่าตอนนี้ร่างบางเดินมานั่งพิงต้นไม้ใหญ่ข้าง
ๆ กับร่างสูง
“ฮึ..เราไม่เรียกว่าเด็กน้อยก็ได้ แล้วเจ้ามีชื่อว่า...”
“เชอะ..อยากรู้ชื่อผู้อื่น
แล้วเหตุใดเจ้ามิเอ่ยบอกชื่อเสียงเรียงนามของเจ้ามาเสียก่อนเล่า เจ้าคนไม่มีมารยาท”
วันนี้ร่างสูงคร้านจะนับว่าตนอดจะยิ้มกับร่างบางที่นั่งเคียงข้างเสียกี่ครั้ง
เพราะกิริยาที่แสดงออกมามันล้วนน่ารักน่าชังเสียจริง ๆ นอกจากเขาจะเป็น
เจ้าคนโอหัง เจ้าคนสามหาว
แล้วตอนนี้ยังเป็นเจ้าคนไม่มีมารยาทเสียอีกอย่าง
“เรา ชื่อ ไค
แล้วเจ้ากันเล่า
อย่าริอาจเบี้ยวมิบอกชื่อตนเองนะ” แอบขู่ร่างบางไว้ก่อน
“ดีโอ” บอกอีกฝ่ายเบา ๆ
ก่อนจะตะล่อมถามไถ่ว่าเหตุใดชาวทงเยถึงได้มาไกลถึงพูยอ เผื่อในภายภาคหน้าจะเกิดประโยชน์
“แล้วเจ้ามาทำอะไรที่พูยอนี่รึ”
“เจ้าควรเรียกเราว่า พี่ไค นะ
หากอายุเจ้ามิทันถึงสิบแปดนั่นคือเจ้าเป็นน้องเราเสียสิบปี” ร่างสูงเอ่ยบอก
ตอนนี้ร่างบางดวงตากลมเบิกโพลงเพราะไม่คาดคิดว่าชายหนุ่มร่างสูงผิวคร้ามแดดจะมีอายุแก่กว่าตนเสียเกือบรอบ
“มิน่าเล่า
ท่านถึงกล้าเรียกเราว่าเด็กน้อย”
สรรพนามในการพูดเปลี่ยนไปรวมถึงกิริยาที่มีต่อผู้มีอาวุโสกว่าสื่อให้เห็นว่าร่างบางได้รับการอบรมมาอย่างดี
ร่างสูงคาดคะเนว่าคงเป็นลูกชายของคหบดีที่มีฐานะของพูยอเป็นแน่แท้เพราะทั้งผิวพรรณและอาพรที่สวมใส่แม้จะดูธรรมดาและเมื่อพินิจดี
ๆ แล้วล้วนแต่เป็นของชั้นดี
“เป็นเด็กนะดีแล้วรู้ไหม ไม่ต้องเผชิญกับปัญหามากมาย อย่าเพิ่งรีบโตเลย”
บอกพร้อมกับที่มือหนาเอื้อมไปลูบเส้นผมดำขลับที่ยามนี้สายลมพัดเสียปรกใบหน้าเนียน แล้วช่วยทัดไว้ข้างหูเล็ก
อีกคราที่คยองซูรู้สึกกระตุกวูบที่หัวใจดวงน้อยของตนยามสบดวงตาคม
“เผลอเป็นไม่ได้ต้องลามปามนะ”
บอกพร้อมใช้มือสะบัดมือหนาของคนร่างสูงกว่าให้ออกจากพวงแก้มของตน
“เราแค่...” เสียงใสแย้งขึ้นมาก่อนเพราะกลัวอีกฝ่ายจะพาการสนทนาเข้าป่าวกวนไปไกล
“ยังมิบอกเราเลยว่าเหตุใดถึงเดินทางมาไกลเสียพูยอ”
“มาซื้อ ขาย แลกเปลี่ยนม้า”
ทันควันแบบตอบโดยมิหยุดคิดสักนิด
“ฮึ..พ่อค้าม้าหรอกรึ”
“แล้วเจ้าคิดว่าหากเราไม่เป็นพ่อค้าม้าแล้ว เราจักเป็นอะไรไปได้รึเด็กน้อย” เสียงทุ้มเอ่ยเนิบ
ๆ ทั้งปกตินิสัยเกลียดคนช่างซักถามและวุ่นวายกับตนยิ่งนัก
คยองซูแอบจิปากแต่คร้านจะเถียงเรื่องเรียกชื่อ เพราะดูท่าร่างสูงคงมิเปลี่ยนใจเรียกชื่อ
ขนาดรู้จักเสียงเรียงนามยังมิวายเรียก “เด็กน้อย”
“นักรบ”
จงอินเลิกคิ้วอย่างแปลกใจ พลางเพ่งพินิจร่างบางที่นั่งข้าง ๆ
ที่ตอนนี้กำลังนั่งถอนต้นดอกหญ้าเล่น
“ทำไมถึงคิดเยี่ยงนั้น”
“การบังคับม้า
แล้วไหนจะฝีมือการยิงเกาทัณฑ์ดูแล้วเหมือนผู้ที่ผ่านการกรำศึกใหญ่น้อยมานักต่อนัก”
“ชาวทงเย ต่างเชี่ยวชาญการบังคับม้าและอาวุธ”
เอ่ยตอบก่อนจะส่งยิ้มบางๆ
ให้ร่างบางที่ใบหน้าใสเริ่มงอเมื่อได้รับคำตอบที่คาดว่ามิใคร่จะพอใจ
จนร่างสูงแอบคิดว่าเจ้าน้อยนี่ช่างสังเกตเกินไปแล้ว
“เหอะ มันก็ควรจะเป็นเช่นนั้นล่ะ
ก็ในเมื่อองค์ราชันของพวกเจ้าทรงโปรดการทำศึกมิใช่หรอกรึ”
กระแสเสียงที่บ่งบอกความไม่ชอบใจยามเอ่ยถึงองค์ราชันแห่งทงเยของร่างบางอย่างชัดเจน ทำให้ร่างสูงเริ่มจะโมโห
“ในใต้หล้า องค์ราชันแห่งทงเยเป็นนักรบผู้กล้าหาญ
ยากจะมีใดต่อกรได้ของกองทัพของพระองค์”
“เรามิปฏิเสธ
แต่พระองค์จะรู้หรือไม่
ความเก่งกล้าประดุจดั่งสองสองคม คมหนึ่งฟาดฟันผู้อื่น
อีกคมก็รั้งจะย้อนคืนฟาดฟันตนเอง
ในวันใดวันหนึ่งข้างหน้า
รังแต่จะสร้างความเจ็บปวดบนกองเลือดและหยาดน้ำตา สงครามมิใช่ทางออกของทุกอย่าง”
“ราชันแห่งทงเย มิเคยเกรงกลัวต่อความเจ็บปวดใด ๆ
ทรงเชื่อมั่นว่าความเข้มแข็งเท่านั้นจะทำให้ทรงอยู่รอด...อยู่เหนือต่อผู้อ่อนแอกว่า ผู้ชนะย่อมมีสิทธิที่จะปกครองหรือทำการใดก็ได้ต่อผู้ที่พ่ายแพ้”
จากบรรยากาศที่สบายหายวับไปกับสายลมยามคู่สนทนาสองเอ่ยถึงเรื่องบ้านเมือง
ดวงตาสองคู่ที่หันมามองสบการนิ่งนาน ไม่เชิงเป็นศัตรูแต่ก็มิใช่มิตร
“นั่นเป็นความแตกต่างระหว่างองค์ราชันของพวกเรา องค์ราชันของเจ้ากระหายแต่สงคราม
ในขณะที่องค์ราชันแห่งพูยอทรงปรารถนาแต่สันติสุขของประชาราษฎร์”
“เด็กน้อย
เจ้าลองคิดดูหรือไม่
หากวันใดวันหนึ่งหรือยามนี้สิ้นบุญองค์ราชันของเจ้า
พูยอจะเป็นเยี่ยงไรในภายภาคหน้าในเมืององค์รัชทายาทยังเยาว์นัก”
อดจะเอ่ยถึงความจริงมิได้ ทั้งที่ร่างสูงก็รู้ว่าคู่สนทนาเป็นชาวพูยอแม้จะไม่รู้ว่าอีกลูกหลานผู้สูงศักดิ์หรือจักเป็นเพียงประชาชนธรรมดา
คราแรกที่ได้ฟังร่างบางเกือบจะตวาด...แต่ลองตรองตามคำพูดของบุรุษต่างเมืองก็ล้วนเป็นความจริง แม้ว่าเซฮุนจะอายุมากกว่าตนเพียงสองขวบปี หากต้องขึ้นปกครอบบ้านในยามนี้คงยากที่จะพาบ้านเมืองให้อยู่รอดจากอาณาจักรใหญ่ที่จ้องจะหาผลประโยชน์จากพูยอที่นอกจากจะเป็นเมืองเรืองชื่อด้านยารักษาโรคที่มิว่าโรคใดยารักษาของพูยอก็จักรักษาได้
และชาวพูยอเองยังมีความลับของเผ่าพันธ์ที่มิอาจเปิดเผยแก่ผู้อื่นได้อีก
“เจ้าคนยโส
มิสำเหนียกเลยว่าบัดนี้ตัวเจ้ายืนอยู่บนแผ่นดินของพูยอ แต่ยังสามหาวกล้าเอ่ยหลบลู่ถึงองค์ราชันของเรา”
“มินานดอก
จะถึงการผลัดเปลี่ยนองค์ราชันแห่งพูยอ” ร่างสูงเอ่ยเสียงกร้าวเพราะ
“เจ้าคนยโส” ที่ร่างบางเอ่ยมันทำให้อารมณ์กรุ่นขึ้น
แล้วพลันร่างบางก็ลุกขึ้นจากที่นั่งพิงต้นไม้ใหญ่พร้อมกับตัวชาแทบก้าวเท้ามิออก
“เราอาจใจดีและให้ความเมตตา หากเจ้าหันมาสวามิภักดิ์องค์ราชันแห่งทงเย”
“ต่อให้เราจักต้องตายเราก็มิเคยคิดจะหันไปสวามิภักดิ์ต่อองค์ราชันใดทั้งสิ้น
ทั้งตัวเราและจิตวิญญาณของเราสวามิภักดิ์ต่อองค์ราชันแห่งพูยอเพียงผู้เดียว”
เอ่ยด้วยน้ำเสียงเด็ดเดี่ยวเช่นเดียวกับแววตาแข็งกราวที่มันมามองร่างสูงที่ยังนั่งพิงต้นไม้ใหญ่อยู่
“เด็กหนอเด็ก
หากต้องสิ้นชีพอยู่ในป่านี้ก็ยังมิเปลี่ยนใจแน่รึ” จงอินเอ่ยข่มขู่
พร้อมคุกคามร่างบางด้วยดาบคู่กายที่บัดนี้มันจ่อชี้ที่ลำคอระหง
“ชาวพูยอทุกคนยอมพลีชีพหากจะคงไว้ซึ่งอาณาแห่งเราและองค์ราชัน”
“เราชื่นชมน้ำใจเจ้าเสียจริงๆ
หากเราเป็นมิตรต่อกันได้คงดีมิน้อย”
เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงจริงจังพลางเก็บดาบคืนฟักพร้อมกับที่ร่างสูงลุกขึ้นมายืนเคียงข้างร่างบาง
“เราก็เป็นมิตรกับทุกคนนั่นล่ะ
ยกเว้นแต่ผู้ที่คิดร้ายต่อพูยอ”
“เราทุกคนต่างมีหน้าที่
และบางครั้งด้วยเพราะหน้าที่ทำให้เรามิอาจเป็นมิตรต่อกันได้เพราะหน้าที่ย่อมอยู่เหนือความรู้สึกส่วน”
ร่างสูงเอ่ยบอกด้วยน้ำเสียงเรียบ ๆ
แต่แฝงไปด้วยความเย็นชาจนร่างบางรู้สึกถึงความหนาวเหน็บและความโดดเดี่ยวของผู้พูด
“งั้นหวังว่าภายภาคหน้าอย่าให้ต้องถึงกับเป็นศัตรูกันเลยก็แล้วกัน”
คยองซูพึมพำก่อนจะตัดสินใจกลับเสียทีเพราะเลยเวลากลับเข้าวังมานานแล้ว
“เดี๋ยวก่อนเด็กน้อย วันพรุ่งเจ้าจะมาที่แห่งนี้อีกหรือไม่?”
ร่างบางส่ายหน้าไปมา
“ว่าอย่างไร
จะมารึไม่มา” ร่างสูงเอ่ยถามอีกครา
“เรามิอาจตอบได้หรอก”
“ทำไม
หรือเจ้าต้องรักษาผู้ป่วยมากมายจนปลีกตัวมาไม่ได้เชียวรึ?”
ร่างสูงอดเอ่ยเย้าไม่ได้ในขณะที่มือหนายังกำข้อมือบางไว้
“ก็ทำนองนั้น
แล้วเจ้าเล่า
มาค้าขายใยมีเวลาว่างมาเที่ยวเล่นเยี่ยงนี้
ไม่กลัวกำไรหดหายขาดทุนบ้างเลยรึไง”
อีกคราที่ร่างบางต้องหลบสายตาคมที่มันวาบวับชวนใจสั่นทุกครั้งที่มองสบ
พลางดึงข้อมือเล็กออกจากมือใหญ่ที่ยังไงก็ยังไม่หลุดเป็นอิสระ
“ถึงมิได้เป็นพ่อค้า ทุกคนก็คิดถึงกำไรได้
ชีวิตมนุษย์เราแสนสั้นควรให้กำไรชีวิตของตนมากกว่าแสวงหากำไรให้ผู้อื่น”
“งั้นแค่ทำตนเป็นคนดี ไม่เบียดเบียนผู้อื่นทำโยชน์ให้แก่บ้านเมืองจักคงพอแล้วกระมังชีวิตนี้”
เสียงใสเอ่ยบอก
“มิพอดอก
มันต้องได้สักสิบเท่าของทุกสิ่งจึงจักได้ชื่อว่าได้กำไรของชีวิต”
ขยับกายเข้าหาร่างบางอีกนิดจนบัดนี้สองร่างเกือบที่จะยืนแนบชิดกันแล้ว
“เจ้านิ...ท่าทางจะเป็นวานิชที่หน้าเลือดเสียจริง”
สิ้นเสียงใสที่เงยหน้าต่อปากต่อคำ
ร่างสูงก็หลุดเสียงหัวเราะกังวานจนใบหน้าคมดูอ่อนโยนลงแล้วรอยยิ้มบนริมฝีปากหยักได้รูปสวยมันทำให้ที่เงยหน้ามองอยู่จนต้องเสใบหน้าหนี
“เราแค่นิยมซื้อขายแบบตรงไปมาก็เท่านั้น และมิเคยที่คิดจะเอาเปรียบผู้ใด”
“จะอยู่ที่พูยออีกนานหรือไม่” อดจะถามมิได้
“ไม่แน่นอน
แล้วเด็กน้อยเหตุใดจึงใคร่อยากรู้เรื่องของเรานักละฮึ”
ร่างสูงเอ่ยเย้าเพราะร่างบางยังมิวายดึงมือตัวเองออกจากการเกาะกุมของเขาเลย
“อ้าว..เจ้า
ทีเจ้าถามเราได้
แล้วเหตุใดเราจะถามมิได้เล่า
ไหนว่ามิใช่ผู้ที่คิดจะเบียดเบียนผู้อื่นไงเล่า” เสียงใสเริ่มกระเง้ากระงอด
“ฮา ๆ เรายังอยู่ที่นี้อีกหลายราตรี”
เสียงทุ้มเอ่ยพร้อมกลั้วยิ้มพราย
มันทำให้ร่างบางร้อนวูบที่ใบหน้า
“แล้วนั่น
เจ้าเขินอายที่ต้องใกล้ชิดเราหรือไรถึงได้อายเสียหน้าดำหน้าแดง”
“เจ้าคนหลงตัวเอง มันไม่ใช่อย่างที่เจ้าคิด”
เอ่ยปฏิเสธอย่างรวดเร็ว ก่อนที่ร่างบางจะคิดหาทางหนีทีไล่เพราะร่างสูงกว่ายังมิยอมปล่อยมือบางเสียง่าย
ๆ หากจะผลักออกแรง
มือหนาข้างนั้นก็เป็นข้างที่ร่างสูงเจ็บเสียด้วย
“แล้วเจ้ารู้ใจเรารึยังไงเจ้าเด็กน้อย ว่าตอนนี้เราคิดอะไรอยู่”
ระยะห่างที่ตอนนี้มันแทบไม่เหลืออยู่แล้ว
เพราะจมูกโด่งของร่างสูงแทบจะจรดหน้าผากเนียนอยู่แล้วห่างเพียงเสี้ยวเดียว
“นี่แน่ะ...” เท้าเล็กของร่างบางเตะแรง ๆ
เข้าที่หน้าแข็งของร่างสูงที่ตอนนี้เผลอตัวปล่อยมือออกจากข้อมือเล็ก
“โอ้ย...นี้เจ้าทำร้ายเราทีเผลอหรอกรึ”
เสียงทุ้มเอ่ยอุทธรณ์เพราะแรงเตะของร่างบางใช่ว่าจะเบาเสียเมื่อไหร่
“ฮา ๆ เรามิขอโทษเจ้าหรอกนะ เจ้านะมันคนชอบลามปาม อย่าลืมพอกยาทุกเช้าและเย็น”
เสียงใสมิวายสั่งก่อนจะเดินตรงไปหาอาชาสีขาวปลอดของตนที่เหมือนรู้หน้าที่ที่จะต้องพาผู้เป็นนายกลับเพราะมันเดินมาหาร่างบางเช่นกันพร้อม
ๆ กับอาชาสีนิลของร่างสูง
“นี่เจ้ากล้าทำร้ายมิตรเชียวนะ”
“อ้าวเหรอ
ปากเจ้าบอกว่ามิตรแต่ในใจอาจคิดว่าเราคือศัตรูที่พร้อมจะห้ำหั่นเสียก็เป็นได้”
เสียงใสยอกย้อนกลับมา
“แต่สำหรับชาวทงเย หากปากบอกว่าผู้ใดคือมิตร ผู้นั้นก็คือมิตร ศัตรูก็คือศัตรู มิตรย่อมไม่ทำร้ายมิตรลับหลัง
และเราก็ไม่คิดผูกมิตรกับผู้ที่ริอาจหาญเป็นศัตรูกับเรา”
คยองซูแม้มิหันไปมองก็รับรู้ถึงความเด็ดเดี่ยวของร่างสูง
หากบุรุษผู้นี้เป็นทหารกล้าของกองทัพทงเยและชาวทงเยหาญกล้าเฉกเช่นบุรุษผู้นี้ทั้งหมด ใยพูยอจะต่อกรกับกองทัพขององค์ราชันที่กระหายสงครามอย่างคิมจงอินได้
หากวันนั้นเกิดศึกษาสงครามขึ้น อาจถึงคราวที่
มิตรย่อมล้างมิตรให้แตกดับกันไปข้าง
“เราก็มิได้ทำร้ายลับหลัง แต่เราทำร้ายซึ่งหน้าเจ้าเลย ถ้าเตะหน้าแข้งมันเบาไปคราวหน้าเราจะเอาลูกศรยิงปักหัวใจเจ้าก็แล้วกัน”
เอ่ยบอกก่อนจะตวัดกายขึ้นนั่งจางโฮพร้อมกระตุกบังเหียนควบจากไป
ร่างสูงมองตามร่างบางที่นั่งหลังตรงบนอาชาสีขาวที่หายลับตาไปไกลแล้ว
“ไง...เจ้าชอบเจ้าเด็กน้อยนั่นรึไงฮึ ถึงได้ยอมให้เค้าลูบตัวได้ง่าย ๆ ”
ร่างสูงเอ่ยเบา ๆ กับอาชาคู่ใจ
เพราะน้อยคนนักที่โฮฮงจะยอมยืนนิ่งให้เข้ามาลูบแผงขนที่คอได้ง่าย
ๆ
แล้วเรื่องกินน้ำอ้อยจากมือคนอื่นที่มิใช่ทหารประจำพระองค์หรือตัวองค์ราชันจงอินเองอย่าหวังเลย
แต่กับเจ้าเด็กน้อยดีโอ โฮฮงกลับยอมเสียง่าย ๆ
++++++++++++++++++++++++++
ร่างบอบบางที่กำลังเดินเลียบทางเดินยังท้ายตำหนักหลวง ต้องลี้กายแอบข้างพุ่มไม้ทันทีเมื่อเห็นขบวนนายทหารจำนวนเกือบสิบกว่านายที่เดินนำหน้าไปยังส่วนอุทยานหลวง
สถานที่ทรงประทับส่วนพระองค์ขององค์ราชันและรานีแห่งพูยอ
“เหตุใดทหารของรอกเจถึงได้มาอยู่ที่นี่”
เอ่ยพึมพำก่อนจะสะดุ้งสุดตัว
“โอ้ย
ท่านพี่เซฮุนใยมาเงียบ ๆ เล่าน้องตกใจหมด”
“พี่เรียกเจ้าตั้งหลายครั้งแล้วเถอะ
แต่ใจเจ้าล่องลอยไปทีใดถึงไม่ได้ยิน”
องค์ชายใหญ่เอ่ยขึ้นก่อนที่คิ้วเข้มจะขมวดมุ่นอย่างมิชอบใจเมื่อเห็นเครื่องแต่งกายของพระอนุชา
“อย่ามามองแบบนี้”
รีบเอ่ยท้วงเพราะรู้ว่าตนจะโดนดุด้วยเหตุใด
“รีบกลับตำหนักเจ้าเสียเถอะ ตอนนี้เสด็จพ่อมีราชการกับองค์ชายซึงรี
มิเป็นการควรหากเราจะไปขัดจังหวะ แต่เอ๋..เราเปลี่ยนใจละ มิได้เล่นหมากรุกกันเสียนาน ไปเล่นเป็นเพื่อนพี่ที่ตำหนักเราเสียดีกว่า”
เซฮุนเอ่ยพร้อมกับจับข้อมือเล็กกึ่งจูงกึ่งลากไปทันทีเพราะหากทนอยู่ต้องเกรงจะสงบสติอารมณ์ไม่ไหวต้องกระโจนไปทำร้ายคนจากอาณาจักรรอกเจที่หันมามองคยองซูราวกับจะกลืนกินไปเสียทั้งตัว!!!
หากไม่มีรับสั่งจากองค์ราชันมาห้ามปรามนับแต่วันที่เขาได้รู้จุดประสงค์ที่แท้จริงในการมาเยือนพูยอเป็นครั้งที่สามในรอบสองเดือนขององค์ชายซึงรีแล้วไซ้ คงได้มีการท้าดวลเรียกเลือดเป็นแน่แท้กับการอุกอาจมาขอแก้วตาดวงใจของพูยอเป็นพระชายา!!!
โอ้ว..ววว ผิดคาดนะเนี่ย เราคิดว่าจงอินรู้ว่าคยองซูเป็นองค์ชายอยู่แล้วซะอีก
ตอบลบถ้าอย่างนั้นการเจอกันของทั้งสองคนก็นับเป็นโชคชะตา ที่ฟ้าลิขิตให้ได้พบกันสินะ
เพราะจงอินก็รู้สึกชอบอกชอบใจ "เด็กน้อย" ตั้งแต่ได้พบครั้งแรก
พอมาเจอกันอีกนอกจากจงอืนแล้ว ม้าคู่พระทัยยังรู้เลยใช่ม๊ะ..
ว่าเด็กน้อยคนนี้แหละ จะมาเป็นนายอีกคนในอนาคต♡
ที่ตกใจคือจงอินอายุมากกว่าองค์ชายน้อยเป็นสิบปี!!?
อย่างนี้ก็ได้ฟีล "เมียเด็ก" ลอยมาเลยสินะ ๕๕๕๕๕
แต่ก่อนอื่นองค์ชายเซฮุนคงต้องปกป้องน้องน้อยให้ดีๆก่อนล่ะ
ถูกองค์ชายต่างเมืองหมายปองให้เป็นพระชายาซะแล้ว
ซึงรี.. อย่านะเว้ยยยย
ไซ้ ที่ใช้เน้นความหมายของคำหน้าใช้ ไซร้ แบบนี้ค่ะ