วันเสาร์ที่ 30 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

Chapter 2 :ก้อนหิน

[Fic EXO] Shine [Kaido,Chanbaek, Hunhan]
By winata
Chapter  2 :ก้อนหิน



ร่างสูงที่วันนี้หยอกเอิน “เด็กน้อย” พอหอมปากหอมคอก็จำใจปล่อยแม้จะเสียดายกลิ่นหอมหวานที่ยังกรุ่นติดจมูกอยู่    อีกคนก็พอกันเมื่อหลุดเป็นอีกอิสระจากอ้อมกอดแกร่งก็แทบจะกระเด้งตัวออกห่างไปไกลเสียเกือบโยชน์  จนอดเอ่ยเย้าเสียมิได้


“อะไรกันชาวพูยอ  นี่เกรงกลัวเรามากเสียจนต้องลี้ถอยห่างเสียป่านนี้เชียวหรือ  เจ้าเด็กน้อย”


“ชาวพูยออย่างเราหาเกรงกลัวไม่ เพียงแค่เรามิอยากจะปากต่อคำกับคนพาล” ร่างบางที่ถูกเรียกว่าเด็กน้อยเอ่ยบอกเสียงเข้มพร้อมกับถลึงตาใส่


“นี่เจ้าเห็นเราเป็นคนพาลหรอกรึฮึ”


อากัปกิริยาลอยหน้าลอยตาไม่ตอบคำถามของร่างบอบบางก็เป็นนัยยอมรับในคำถามนั้น


“หากเราเป็นคนพาลอย่างเจ้าคิด  เจ้าเด็กน้อยเอ้ย...เราจะจักจับเจ้ากับม้าของเจ้าไปขายเป็นทาสเลว  แต่เราดูท่าแล้วรูปร่างผอมแห้งแรงน้อยเฉกเช่นเจ้า  คงไม่แคล้วเป็นได้แค่คนโกยหญ้าให้ม้ากิน”


ตั้งแต่เกิดมายังไม่เคยมีผู้ใดที่ดูถูกร่างบางมากขนาดนี้  แล้วพลันสายตากลมแลเห็นหินก้อนขนาดพอเหมาะมือก็ก้มลงหยิบแล้วขว้างใส่ร่างสูงกะให้โดนจัง ๆ


“โอ้ย  เจ้า...” จงอินรู้สึกเสียวแปลบที่แขนแกร่งขึ้นมาทันทีแม้ว่าจะเบี่ยงตัวหลบทันแต่มิวายยังโดน


“อะไรกัน...กะอีแค่ก้อนหินถึงกับทำให้ชาวทงเย...เอ๊ะ...เลือด” คราแรกคยองซูกะจะเอ่ยแดกดันร่างสูงที่ชอบว่าตนเองนัก  แต่ตอนนี้จากยืนอยู่ห่างเสียเกือบโยชน์ 


คนตัวเล็กกว่ากับสาวเท้าเร็ว ๆ มาประชิดตัวร่างสูงกว่า  พร้อมกับดึงข้อมือใหญ่ให้เดินตามตนเองมานั่งยังใต้ร่มไม้และเอ่ยเองเสียเสร็จสรรพ

“นั่งรอเราอยู่ที่นี้  แล้วเจ้าอย่าขยับแขนข้างที่เจ็บเป็นอันขาด”

อากัปกิริยาของร่างบางเสียงรอยยิ้มได้จากใบหน้าคม  เพราะเมื่อครู่เจ้าเด็กน้อยยังมีท่าทีเดือดดาลดูน่าขันจริงเทียว  มือบางที่กำหมัดแน่น  ดวงตากลมที่ฉายความเกรี้ยวกราดราวกับแมวป่าที่พร้อมจะกระโจนเข้าหาเหยื่อ  แต่พอเห็นเขาบาดเจ็บเท่านั้นทุกอย่างก็พลันเปลี่ยนไป

ร่างบางรีบเดินไปหยิบห่อผ้าประจำตัวที่มีติดไว้กับจางโฮเสมอยามที่ออกมานอกวังทุกครั้ง   ก่อนจะรีบเดินกลับมาหาร่างสูงที่ดูท่าจะเชื่อฟังจริง ๆ เพราะยังนั่งนิ่งอยู่ท่าเดิม  แต่นัยน์ตาคมที่แพรวระยับมันทำให้ไม่อาจมองสบตาคมเสียตรง ๆ ได้  จนต้องแอบบ่นอุบอิบเบา ๆ

“มองแบบนี้  มันน่าเอาลูกศรจิ้มตาเสียจริง”

จงอินมองมือบางที่รั้งชายแขนเสื้อตัวนอกสีน้ำตาลเข้มของตนขึ้นมาดูบาดแผล  ก่อนที่อีกฝ่ายจะจิปากอย่างไม่สบอารมณ์

“แผลยาวขนาดนี้คงมิใช่โดนก้อนหินที่เราขว้างใส่แน่” เอ่ยขึ้นมาก่อนพร้อมตวัดดวงตากลมโตขึ้นมามองสบกับสายตาคม ๆ ที่จับจ้องมาอยู่ก่อน

“ต้องถอดเสื้อออกก่อน  แผลยาวตั้งแต่หัวไหล่จนถึงข้อศอก  เดี๋ยวเราจะทำแผลให้  แล้วอย่าหาว่าเราโม้เลยในสี่อาณาจักรหาได้มีอาณาจักรได้จะมีสมุนไพรรักษาแผลสดได้ดีเลิศเทียบเท่าพูยอ”

ได้แต่นั่งฟังเงียบ ๆ พลางเอี้ยวตัวถอดเสื้อออก  ดูท่าเจ้าตัวจะเป็นคนร่าเริงแจ่มใสและเป็นมิตรกับคนอื่นไปทั่วถึงได้เจื้อยแจ่วขนาดนี้ทั้งที่เมื่อครู่ยังเหมือนโกรธกันเป็นฟืนเป็นไฟอยู่เลย

“โชคดีนะ  แผลเจ้าไม่ลึกมาก  เราใช้น้ำเกลือเช็ดทำความสะอาดแผล  ส่วนยานี้ที่เรากำลังพอกให้เจ้าเป็นยาสูตรพิเศษที่เราคิดค้นขึ้นเองเลยนะมันจะช่วยสมานแผลสดให้หายภายในสามวัน”

“...”

คยองซูที่เพิ่งสังเกตว่าตอนนี้มีแค่ตนเป็นฝ่ายพูดอยู่เพียงลำพัง  ในขณะที่ร่างสูงเอาแต่มองมานิ่ง ๆ

“เจ้าเป็นหมอหรอกรึเจ้าเด็กน้อย  หรือเพียงแค่เพิ่งริจะเริ่มเรียน” เสียงทุ้มนุ่มหูที่เอ่ยมาด้วยไม่มีวี่แววความยั่วเย้ากวนประสาทมันทำให้แก้มนวลขึ้นสีระเรื่อเพราะบุรุษนี้อีกครั้งแล้วยิ่งนัยน์ตาสีรัตติกาลที่มองมานิ่ง ๆ มันชวนให้น่าค้นหาว่าภายในหทัยของผู้เป็นเจ้าของยามนี้คิดอะไรอยู่

“ใช่แล้วเราเป็นหมอ  แล้วเจ้าตอนนี้ต้องสำนึกบุญคุณเราเสียให้มากกับการรักษาในครั้งนี้”

“เราขอร้องเจ้ารึ..เจ้าเด็กน้อย?”

“เจ้า!!!” ก่อนมือบางจะมัดปมผ้าผันแผลเสียแรง ๆ

“โอ้ย...นี่เจ้าแกล้งเรารึ” เมื่อเห็นใบหน้าเนียนใสงอแล้วยิ่งริมฝีปากบางที่เชิดจนจะชนกับปลายจมูกรั้น ๆ มันทำให้ร่างสูงอดจะยิ้มเสียไม่ได้

“นอกจากจะเด็กแล้วยังจะขี้งอนเสียด้วยนะเจ้า”

คยองซูเก็บข้าวของใส่ห่อผ้าเรียบร้อยพร้อมกับลุกขึ้นและหยิบเกาทัณฑ์ขึ้นคล้องบ่าบางของตน

“เจ้าเพิ่งมาชั่วครู่เดียว  จะกลับแล้วรึ” จงอินรีบดึงชายเสื้อของร่างบางไว้

“นี่...เราเพิ่งทำแผลให้เจ้านะ  แขนข้างนี้อย่าเพิ่งใช้งานเดี๋ยวมันจะยิ่งระบมหนักกว่าเดิม” หันมาแวดเสียงใส่คนดึงชายเสื้อที่ยังนั่งพิงต้นไม้

“แผลแค่นี้  ปกติเราเลียเดี๋ยวก็หาย”

“ปากเจ้านี่นะ  อึ้ยยยยยย  คราวหน้าถ้าเราเจอเจ้ามีแผลมานะ  ต่อให้ทองหนักเท่าตัวเราก็ไม่รักษาแต่จะให้เจ้าใช้น้ำลายตัวเองรักษาแทน”

ร่างสูงพยายามกั้นเสียงหัวเราะเมื่อเห็นใบหน้าเนียนใสกระเง้ากระงอดตน

“เอาน้า  อย่างไรเสียเราก็ต้องขอบใจเจ้าอยู่ดีที่อุตส่าห์มีน้ำใจช่วยทำแผลให้เรา  ไหน ๆ พวกเราก็มีวาสนาต่อกันหากเจ้าไม่เร่งร้อนรีบกลับอยู่สนทนากับเราสักครู่เถอะเจ้าเด็กน้อย ๆ”

“บอกตั้งหลายครั้งแล้วว่าเรามิใช่เด็กน้อย  เจ้าก็เรียกเราเด็กน้อย..เด็กน้อยอยู่ได้” จากที่คิดจะกลับกับกลายเป็นว่าตอนนี้ร่างบางเดินมานั่งพิงต้นไม้ใหญ่ข้าง ๆ กับร่างสูง

“ฮึ..เราไม่เรียกว่าเด็กน้อยก็ได้  แล้วเจ้ามีชื่อว่า...”

“เชอะ..อยากรู้ชื่อผู้อื่น  แล้วเหตุใดเจ้ามิเอ่ยบอกชื่อเสียงเรียงนามของเจ้ามาเสียก่อนเล่า  เจ้าคนไม่มีมารยาท”

วันนี้ร่างสูงคร้านจะนับว่าตนอดจะยิ้มกับร่างบางที่นั่งเคียงข้างเสียกี่ครั้ง  เพราะกิริยาที่แสดงออกมามันล้วนน่ารักน่าชังเสียจริง ๆ  นอกจากเขาจะเป็น  เจ้าคนโอหัง  เจ้าคนสามหาว  แล้วตอนนี้ยังเป็นเจ้าคนไม่มีมารยาทเสียอีกอย่าง

“เรา ชื่อ ไค  แล้วเจ้ากันเล่า  อย่าริอาจเบี้ยวมิบอกชื่อตนเองนะ” แอบขู่ร่างบางไว้ก่อน

“ดีโอ” บอกอีกฝ่ายเบา ๆ ก่อนจะตะล่อมถามไถ่ว่าเหตุใดชาวทงเยถึงได้มาไกลถึงพูยอ  เผื่อในภายภาคหน้าจะเกิดประโยชน์

“แล้วเจ้ามาทำอะไรที่พูยอนี่รึ”

“เจ้าควรเรียกเราว่า พี่ไค นะ   หากอายุเจ้ามิทันถึงสิบแปดนั่นคือเจ้าเป็นน้องเราเสียสิบปี” ร่างสูงเอ่ยบอก

ตอนนี้ร่างบางดวงตากลมเบิกโพลงเพราะไม่คาดคิดว่าชายหนุ่มร่างสูงผิวคร้ามแดดจะมีอายุแก่กว่าตนเสียเกือบรอบ

“มิน่าเล่า  ท่านถึงกล้าเรียกเราว่าเด็กน้อย” สรรพนามในการพูดเปลี่ยนไปรวมถึงกิริยาที่มีต่อผู้มีอาวุโสกว่าสื่อให้เห็นว่าร่างบางได้รับการอบรมมาอย่างดี   ร่างสูงคาดคะเนว่าคงเป็นลูกชายของคหบดีที่มีฐานะของพูยอเป็นแน่แท้เพราะทั้งผิวพรรณและอาพรที่สวมใส่แม้จะดูธรรมดาและเมื่อพินิจดี ๆ แล้วล้วนแต่เป็นของชั้นดี

“เป็นเด็กนะดีแล้วรู้ไหม  ไม่ต้องเผชิญกับปัญหามากมาย  อย่าเพิ่งรีบโตเลย” บอกพร้อมกับที่มือหนาเอื้อมไปลูบเส้นผมดำขลับที่ยามนี้สายลมพัดเสียปรกใบหน้าเนียน  แล้วช่วยทัดไว้ข้างหูเล็ก

อีกคราที่คยองซูรู้สึกกระตุกวูบที่หัวใจดวงน้อยของตนยามสบดวงตาคม

“เผลอเป็นไม่ได้ต้องลามปามนะ” บอกพร้อมใช้มือสะบัดมือหนาของคนร่างสูงกว่าให้ออกจากพวงแก้มของตน

“เราแค่...” เสียงใสแย้งขึ้นมาก่อนเพราะกลัวอีกฝ่ายจะพาการสนทนาเข้าป่าวกวนไปไกล

“ยังมิบอกเราเลยว่าเหตุใดถึงเดินทางมาไกลเสียพูยอ”

“มาซื้อ ขาย แลกเปลี่ยนม้า” ทันควันแบบตอบโดยมิหยุดคิดสักนิด

“ฮึ..พ่อค้าม้าหรอกรึ”

“แล้วเจ้าคิดว่าหากเราไม่เป็นพ่อค้าม้าแล้ว  เราจักเป็นอะไรไปได้รึเด็กน้อย” เสียงทุ้มเอ่ยเนิบ ๆ ทั้งปกตินิสัยเกลียดคนช่างซักถามและวุ่นวายกับตนยิ่งนัก

คยองซูแอบจิปากแต่คร้านจะเถียงเรื่องเรียกชื่อ  เพราะดูท่าร่างสูงคงมิเปลี่ยนใจเรียกชื่อ 

ขนาดรู้จักเสียงเรียงนามยังมิวายเรียก “เด็กน้อย”

“นักรบ”

จงอินเลิกคิ้วอย่างแปลกใจ  พลางเพ่งพินิจร่างบางที่นั่งข้าง ๆ ที่ตอนนี้กำลังนั่งถอนต้นดอกหญ้าเล่น

“ทำไมถึงคิดเยี่ยงนั้น”

“การบังคับม้า  แล้วไหนจะฝีมือการยิงเกาทัณฑ์ดูแล้วเหมือนผู้ที่ผ่านการกรำศึกใหญ่น้อยมานักต่อนัก”

“ชาวทงเย ต่างเชี่ยวชาญการบังคับม้าและอาวุธ” เอ่ยตอบก่อนจะส่งยิ้มบางๆ ให้ร่างบางที่ใบหน้าใสเริ่มงอเมื่อได้รับคำตอบที่คาดว่ามิใคร่จะพอใจ  จนร่างสูงแอบคิดว่าเจ้าน้อยนี่ช่างสังเกตเกินไปแล้ว

“เหอะ มันก็ควรจะเป็นเช่นนั้นล่ะ  ก็ในเมื่อองค์ราชันของพวกเจ้าทรงโปรดการทำศึกมิใช่หรอกรึ”

กระแสเสียงที่บ่งบอกความไม่ชอบใจยามเอ่ยถึงองค์ราชันแห่งทงเยของร่างบางอย่างชัดเจน  ทำให้ร่างสูงเริ่มจะโมโห

“ในใต้หล้า องค์ราชันแห่งทงเยเป็นนักรบผู้กล้าหาญ ยากจะมีใดต่อกรได้ของกองทัพของพระองค์”

“เรามิปฏิเสธ  แต่พระองค์จะรู้หรือไม่  ความเก่งกล้าประดุจดั่งสองสองคม คมหนึ่งฟาดฟันผู้อื่น อีกคมก็รั้งจะย้อนคืนฟาดฟันตนเอง  ในวันใดวันหนึ่งข้างหน้า  รังแต่จะสร้างความเจ็บปวดบนกองเลือดและหยาดน้ำตา  สงครามมิใช่ทางออกของทุกอย่าง”

“ราชันแห่งทงเย มิเคยเกรงกลัวต่อความเจ็บปวดใด ๆ ทรงเชื่อมั่นว่าความเข้มแข็งเท่านั้นจะทำให้ทรงอยู่รอด...อยู่เหนือต่อผู้อ่อนแอกว่า  ผู้ชนะย่อมมีสิทธิที่จะปกครองหรือทำการใดก็ได้ต่อผู้ที่พ่ายแพ้”

จากบรรยากาศที่สบายหายวับไปกับสายลมยามคู่สนทนาสองเอ่ยถึงเรื่องบ้านเมือง

ดวงตาสองคู่ที่หันมามองสบการนิ่งนาน  ไม่เชิงเป็นศัตรูแต่ก็มิใช่มิตร

“นั่นเป็นความแตกต่างระหว่างองค์ราชันของพวกเรา  องค์ราชันของเจ้ากระหายแต่สงคราม  ในขณะที่องค์ราชันแห่งพูยอทรงปรารถนาแต่สันติสุขของประชาราษฎร์”

“เด็กน้อย  เจ้าลองคิดดูหรือไม่  หากวันใดวันหนึ่งหรือยามนี้สิ้นบุญองค์ราชันของเจ้า  พูยอจะเป็นเยี่ยงไรในภายภาคหน้าในเมืององค์รัชทายาทยังเยาว์นัก” อดจะเอ่ยถึงความจริงมิได้  ทั้งที่ร่างสูงก็รู้ว่าคู่สนทนาเป็นชาวพูยอแม้จะไม่รู้ว่าอีกลูกหลานผู้สูงศักดิ์หรือจักเป็นเพียงประชาชนธรรมดา

คราแรกที่ได้ฟังร่างบางเกือบจะตวาด...แต่ลองตรองตามคำพูดของบุรุษต่างเมืองก็ล้วนเป็นความจริง  แม้ว่าเซฮุนจะอายุมากกว่าตนเพียงสองขวบปี  หากต้องขึ้นปกครอบบ้านในยามนี้คงยากที่จะพาบ้านเมืองให้อยู่รอดจากอาณาจักรใหญ่ที่จ้องจะหาผลประโยชน์จากพูยอที่นอกจากจะเป็นเมืองเรืองชื่อด้านยารักษาโรคที่มิว่าโรคใดยารักษาของพูยอก็จักรักษาได้  และชาวพูยอเองยังมีความลับของเผ่าพันธ์ที่มิอาจเปิดเผยแก่ผู้อื่นได้อีก


“เจ้าคนยโส  มิสำเหนียกเลยว่าบัดนี้ตัวเจ้ายืนอยู่บนแผ่นดินของพูยอ  แต่ยังสามหาวกล้าเอ่ยหลบลู่ถึงองค์ราชันของเรา”

“มินานดอก  จะถึงการผลัดเปลี่ยนองค์ราชันแห่งพูยอ” ร่างสูงเอ่ยเสียงกร้าวเพราะ “เจ้าคนยโส” ที่ร่างบางเอ่ยมันทำให้อารมณ์กรุ่นขึ้น

แล้วพลันร่างบางก็ลุกขึ้นจากที่นั่งพิงต้นไม้ใหญ่พร้อมกับตัวชาแทบก้าวเท้ามิออก

“เราอาจใจดีและให้ความเมตตา  หากเจ้าหันมาสวามิภักดิ์องค์ราชันแห่งทงเย”

“ต่อให้เราจักต้องตายเราก็มิเคยคิดจะหันไปสวามิภักดิ์ต่อองค์ราชันใดทั้งสิ้น  ทั้งตัวเราและจิตวิญญาณของเราสวามิภักดิ์ต่อองค์ราชันแห่งพูยอเพียงผู้เดียว” เอ่ยด้วยน้ำเสียงเด็ดเดี่ยวเช่นเดียวกับแววตาแข็งกราวที่มันมามองร่างสูงที่ยังนั่งพิงต้นไม้ใหญ่อยู่

“เด็กหนอเด็ก  หากต้องสิ้นชีพอยู่ในป่านี้ก็ยังมิเปลี่ยนใจแน่รึ” จงอินเอ่ยข่มขู่ พร้อมคุกคามร่างบางด้วยดาบคู่กายที่บัดนี้มันจ่อชี้ที่ลำคอระหง

“ชาวพูยอทุกคนยอมพลีชีพหากจะคงไว้ซึ่งอาณาแห่งเราและองค์ราชัน”

“เราชื่นชมน้ำใจเจ้าเสียจริงๆ หากเราเป็นมิตรต่อกันได้คงดีมิน้อย” เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงจริงจังพลางเก็บดาบคืนฟักพร้อมกับที่ร่างสูงลุกขึ้นมายืนเคียงข้างร่างบาง

“เราก็เป็นมิตรกับทุกคนนั่นล่ะ ยกเว้นแต่ผู้ที่คิดร้ายต่อพูยอ”

“เราทุกคนต่างมีหน้าที่  และบางครั้งด้วยเพราะหน้าที่ทำให้เรามิอาจเป็นมิตรต่อกันได้เพราะหน้าที่ย่อมอยู่เหนือความรู้สึกส่วน” ร่างสูงเอ่ยบอกด้วยน้ำเสียงเรียบ ๆ แต่แฝงไปด้วยความเย็นชาจนร่างบางรู้สึกถึงความหนาวเหน็บและความโดดเดี่ยวของผู้พูด

“งั้นหวังว่าภายภาคหน้าอย่าให้ต้องถึงกับเป็นศัตรูกันเลยก็แล้วกัน” คยองซูพึมพำก่อนจะตัดสินใจกลับเสียทีเพราะเลยเวลากลับเข้าวังมานานแล้ว

“เดี๋ยวก่อนเด็กน้อย  วันพรุ่งเจ้าจะมาที่แห่งนี้อีกหรือไม่?”

ร่างบางส่ายหน้าไปมา

“ว่าอย่างไร  จะมารึไม่มา” ร่างสูงเอ่ยถามอีกครา

“เรามิอาจตอบได้หรอก”

“ทำไม  หรือเจ้าต้องรักษาผู้ป่วยมากมายจนปลีกตัวมาไม่ได้เชียวรึ?” ร่างสูงอดเอ่ยเย้าไม่ได้ในขณะที่มือหนายังกำข้อมือบางไว้

“ก็ทำนองนั้น  แล้วเจ้าเล่า  มาค้าขายใยมีเวลาว่างมาเที่ยวเล่นเยี่ยงนี้ ไม่กลัวกำไรหดหายขาดทุนบ้างเลยรึไง”

อีกคราที่ร่างบางต้องหลบสายตาคมที่มันวาบวับชวนใจสั่นทุกครั้งที่มองสบ  พลางดึงข้อมือเล็กออกจากมือใหญ่ที่ยังไงก็ยังไม่หลุดเป็นอิสระ

“ถึงมิได้เป็นพ่อค้า ทุกคนก็คิดถึงกำไรได้  ชีวิตมนุษย์เราแสนสั้นควรให้กำไรชีวิตของตนมากกว่าแสวงหากำไรให้ผู้อื่น”

“งั้นแค่ทำตนเป็นคนดี ไม่เบียดเบียนผู้อื่นทำโยชน์ให้แก่บ้านเมืองจักคงพอแล้วกระมังชีวิตนี้” เสียงใสเอ่ยบอก

“มิพอดอก  มันต้องได้สักสิบเท่าของทุกสิ่งจึงจักได้ชื่อว่าได้กำไรของชีวิต” ขยับกายเข้าหาร่างบางอีกนิดจนบัดนี้สองร่างเกือบที่จะยืนแนบชิดกันแล้ว

“เจ้านิ...ท่าทางจะเป็นวานิชที่หน้าเลือดเสียจริง”

สิ้นเสียงใสที่เงยหน้าต่อปากต่อคำ   ร่างสูงก็หลุดเสียงหัวเราะกังวานจนใบหน้าคมดูอ่อนโยนลงแล้วรอยยิ้มบนริมฝีปากหยักได้รูปสวยมันทำให้ที่เงยหน้ามองอยู่จนต้องเสใบหน้าหนี

“เราแค่นิยมซื้อขายแบบตรงไปมาก็เท่านั้น  และมิเคยที่คิดจะเอาเปรียบผู้ใด”

“จะอยู่ที่พูยออีกนานหรือไม่” อดจะถามมิได้

“ไม่แน่นอน  แล้วเด็กน้อยเหตุใดจึงใคร่อยากรู้เรื่องของเรานักละฮึ” ร่างสูงเอ่ยเย้าเพราะร่างบางยังมิวายดึงมือตัวเองออกจากการเกาะกุมของเขาเลย

“อ้าว..เจ้า  ทีเจ้าถามเราได้  แล้วเหตุใดเราจะถามมิได้เล่า  ไหนว่ามิใช่ผู้ที่คิดจะเบียดเบียนผู้อื่นไงเล่า” เสียงใสเริ่มกระเง้ากระงอด

“ฮา ๆ เรายังอยู่ที่นี้อีกหลายราตรี” เสียงทุ้มเอ่ยพร้อมกลั้วยิ้มพราย  มันทำให้ร่างบางร้อนวูบที่ใบหน้า

“แล้วนั่น  เจ้าเขินอายที่ต้องใกล้ชิดเราหรือไรถึงได้อายเสียหน้าดำหน้าแดง”

“เจ้าคนหลงตัวเอง  มันไม่ใช่อย่างที่เจ้าคิด” เอ่ยปฏิเสธอย่างรวดเร็ว ก่อนที่ร่างบางจะคิดหาทางหนีทีไล่เพราะร่างสูงกว่ายังมิยอมปล่อยมือบางเสียง่าย ๆ หากจะผลักออกแรง  มือหนาข้างนั้นก็เป็นข้างที่ร่างสูงเจ็บเสียด้วย

“แล้วเจ้ารู้ใจเรารึยังไงเจ้าเด็กน้อย  ว่าตอนนี้เราคิดอะไรอยู่”

ระยะห่างที่ตอนนี้มันแทบไม่เหลืออยู่แล้ว  เพราะจมูกโด่งของร่างสูงแทบจะจรดหน้าผากเนียนอยู่แล้วห่างเพียงเสี้ยวเดียว

“นี่แน่ะ...” เท้าเล็กของร่างบางเตะแรง ๆ เข้าที่หน้าแข็งของร่างสูงที่ตอนนี้เผลอตัวปล่อยมือออกจากข้อมือเล็ก

“โอ้ย...นี้เจ้าทำร้ายเราทีเผลอหรอกรึ” เสียงทุ้มเอ่ยอุทธรณ์เพราะแรงเตะของร่างบางใช่ว่าจะเบาเสียเมื่อไหร่

“ฮา ๆ เรามิขอโทษเจ้าหรอกนะ  เจ้านะมันคนชอบลามปาม  อย่าลืมพอกยาทุกเช้าและเย็น” เสียงใสมิวายสั่งก่อนจะเดินตรงไปหาอาชาสีขาวปลอดของตนที่เหมือนรู้หน้าที่ที่จะต้องพาผู้เป็นนายกลับเพราะมันเดินมาหาร่างบางเช่นกันพร้อม ๆ กับอาชาสีนิลของร่างสูง

“นี่เจ้ากล้าทำร้ายมิตรเชียวนะ”

“อ้าวเหรอ  ปากเจ้าบอกว่ามิตรแต่ในใจอาจคิดว่าเราคือศัตรูที่พร้อมจะห้ำหั่นเสียก็เป็นได้” เสียงใสยอกย้อนกลับมา
“แต่สำหรับชาวทงเย  หากปากบอกว่าผู้ใดคือมิตร  ผู้นั้นก็คือมิตร  ศัตรูก็คือศัตรู  มิตรย่อมไม่ทำร้ายมิตรลับหลัง และเราก็ไม่คิดผูกมิตรกับผู้ที่ริอาจหาญเป็นศัตรูกับเรา”

คยองซูแม้มิหันไปมองก็รับรู้ถึงความเด็ดเดี่ยวของร่างสูง  หากบุรุษผู้นี้เป็นทหารกล้าของกองทัพทงเยและชาวทงเยหาญกล้าเฉกเช่นบุรุษผู้นี้ทั้งหมด  ใยพูยอจะต่อกรกับกองทัพขององค์ราชันที่กระหายสงครามอย่างคิมจงอินได้

หากวันนั้นเกิดศึกษาสงครามขึ้น  อาจถึงคราวที่ มิตรย่อมล้างมิตรให้แตกดับกันไปข้าง

“เราก็มิได้ทำร้ายลับหลัง  แต่เราทำร้ายซึ่งหน้าเจ้าเลย  ถ้าเตะหน้าแข้งมันเบาไปคราวหน้าเราจะเอาลูกศรยิงปักหัวใจเจ้าก็แล้วกัน” เอ่ยบอกก่อนจะตวัดกายขึ้นนั่งจางโฮพร้อมกระตุกบังเหียนควบจากไป

ร่างสูงมองตามร่างบางที่นั่งหลังตรงบนอาชาสีขาวที่หายลับตาไปไกลแล้ว

“ไง...เจ้าชอบเจ้าเด็กน้อยนั่นรึไงฮึ  ถึงได้ยอมให้เค้าลูบตัวได้ง่าย ๆ ” ร่างสูงเอ่ยเบา ๆ กับอาชาคู่ใจ

เพราะน้อยคนนักที่โฮฮงจะยอมยืนนิ่งให้เข้ามาลูบแผงขนที่คอได้ง่าย ๆ

แล้วเรื่องกินน้ำอ้อยจากมือคนอื่นที่มิใช่ทหารประจำพระองค์หรือตัวองค์ราชันจงอินเองอย่าหวังเลย

แต่กับเจ้าเด็กน้อยดีโอ  โฮฮงกลับยอมเสียง่าย ๆ



++++++++++++++++++++++++++



ร่างบอบบางที่กำลังเดินเลียบทางเดินยังท้ายตำหนักหลวง  ต้องลี้กายแอบข้างพุ่มไม้ทันทีเมื่อเห็นขบวนนายทหารจำนวนเกือบสิบกว่านายที่เดินนำหน้าไปยังส่วนอุทยานหลวง  สถานที่ทรงประทับส่วนพระองค์ขององค์ราชันและรานีแห่งพูยอ

“เหตุใดทหารของรอกเจถึงได้มาอยู่ที่นี่” เอ่ยพึมพำก่อนจะสะดุ้งสุดตัว

“โอ้ย  ท่านพี่เซฮุนใยมาเงียบ ๆ เล่าน้องตกใจหมด”

“พี่เรียกเจ้าตั้งหลายครั้งแล้วเถอะ แต่ใจเจ้าล่องลอยไปทีใดถึงไม่ได้ยิน” องค์ชายใหญ่เอ่ยขึ้นก่อนที่คิ้วเข้มจะขมวดมุ่นอย่างมิชอบใจเมื่อเห็นเครื่องแต่งกายของพระอนุชา

“อย่ามามองแบบนี้” รีบเอ่ยท้วงเพราะรู้ว่าตนจะโดนดุด้วยเหตุใด

“รีบกลับตำหนักเจ้าเสียเถอะ  ตอนนี้เสด็จพ่อมีราชการกับองค์ชายซึงรี มิเป็นการควรหากเราจะไปขัดจังหวะ  แต่เอ๋..เราเปลี่ยนใจละ มิได้เล่นหมากรุกกันเสียนาน  ไปเล่นเป็นเพื่อนพี่ที่ตำหนักเราเสียดีกว่า”  เซฮุนเอ่ยพร้อมกับจับข้อมือเล็กกึ่งจูงกึ่งลากไปทันทีเพราะหากทนอยู่ต้องเกรงจะสงบสติอารมณ์ไม่ไหวต้องกระโจนไปทำร้ายคนจากอาณาจักรรอกเจที่หันมามองคยองซูราวกับจะกลืนกินไปเสียทั้งตัว!!!



หากไม่มีรับสั่งจากองค์ราชันมาห้ามปรามนับแต่วันที่เขาได้รู้จุดประสงค์ที่แท้จริงในการมาเยือนพูยอเป็นครั้งที่สามในรอบสองเดือนขององค์ชายซึงรีแล้วไซ้      คงได้มีการท้าดวลเรียกเลือดเป็นแน่แท้กับการอุกอาจมาขอแก้วตาดวงใจของพูยอเป็นพระชายา!!!





 ++++tbc+++++

1 ความคิดเห็น:

  1. โอ้ว..ววว ผิดคาดนะเนี่ย เราคิดว่าจงอินรู้ว่าคยองซูเป็นองค์ชายอยู่แล้วซะอีก
    ถ้าอย่างนั้นการเจอกันของทั้งสองคนก็นับเป็นโชคชะตา ที่ฟ้าลิขิตให้ได้พบกันสินะ
    เพราะจงอินก็รู้สึกชอบอกชอบใจ "เด็กน้อย" ตั้งแต่ได้พบครั้งแรก
    พอมาเจอกันอีกนอกจากจงอืนแล้ว ม้าคู่พระทัยยังรู้เลยใช่ม๊ะ..
    ว่าเด็กน้อยคนนี้แหละ จะมาเป็นนายอีกคนในอนาคต♡

    ที่ตกใจคือจงอินอายุมากกว่าองค์ชายน้อยเป็นสิบปี!!?
    อย่างนี้ก็ได้ฟีล "เมียเด็ก" ลอยมาเลยสินะ ๕๕๕๕๕
    แต่ก่อนอื่นองค์ชายเซฮุนคงต้องปกป้องน้องน้อยให้ดีๆก่อนล่ะ
    ถูกองค์ชายต่างเมืองหมายปองให้เป็นพระชายาซะแล้ว
    ซึงรี.. อย่านะเว้ยยยย



    ไซ้ ที่ใช้เน้นความหมายของคำหน้าใช้ ไซร้ แบบนี้ค่ะ

    ตอบลบ